แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มอบเงินแก่จำเลยจำนวนหนึ่งแล้วจำเลยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์ และโจทก์ได้สลักหลังมอบให้จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์ในการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ฯ โดยตกลงกันให้จำเลยนำตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวมาหักหนี้ค่าซื้อหลักทรัพย์ที่โจทก์ค้างชำระ ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ซื้อหลักทรัพย์ให้โจทก์ ตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยรับไว้จึงปราศจากมูลหนี้ที่โจทก์จะต้องชำระแก่จำเลยจำเลยจึงไม่เป็นผู้ทรงและมีตั๋วสัญญาใช้เงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงิน คงเป็นเพียงผู้ยึดถือตั๋วสัญญาใช้เงินไว้แทนโจทก์เท่านั้น โจทก์ยังคงเป็นผู้ทรงและมีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจากจำเลยผู้สั่งจ่ายได้
ตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดใช้เงินวันที่ 4 พฤษภาคม 2523 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2525 ยังไม่พ้นเวลา 3 ปี นับแต่วันตั๋วเงินถึงกำหนดใช้เงิน ฟ้องโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1001
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๒๒ จำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินโดยสัญญาว่าจะจ่ายเงินจำนวน ๖๙,๖๕๙.๖๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบต่อปีแก่โจทก์ ในวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๒๓ ครั้นถึงวันครบกำหนด จำเลยผิดสัญญาชำระเงินแก่โจทก์ โดยอ้างว่านำเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยไปหักชำระหนี้เงินค่าหุ้นบริษัทต่าง ๆ ที่จำเลยได้ซื้อแทนโจทก์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และโจทก์ได้มอบตั๋วสัญญาใช้เงินไว้เป็นประกัน การที่จำเลยนำจำนวนเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินไปหักชำระหนี้ค่าหุ้นที่ปราศจากมูลหนี้ต่อกัน จำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้อง เพราะตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวได้โอนกลับมาโดยโจทก์สลักหลังมอบให้จำเลยเพื่อชำระหนี้บางส่วนในการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งโจทก์แต่งตั้งจำเลยเป็นตัวแทนในการซื้อขายหลักทรัพย์แทนโจทก์ และจำเลยได้สั่งซื้อให้ตามคำสั่งของโจทก์แล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ ๖๙,๖๕๙.๖๕ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์มอบเงินให้จำเลย จำเลยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับพิพาทให้โจทก์ โจทก์ได้สลักหลังมอบให้จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์ในการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีข้อตกลงกันให้จำเลยนำตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวมาหักชำระหนี้ค่าหลักทรัพย์ที่โจทก์ค้างชำระ และโจทก์จำเลยตกลงให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงในคดีของศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟังไม่ได้ว่าจำเลยในคดีนี้ได้ซื้อหลักทรัพย์ให้โจทก์ในคดีนี้ตามสั่ง พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด ดังนั้น ข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์จำเลยในคดีนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยได้ซื้อหลักทรัพย์ให้โจทก์ตามคำสั่ง ตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยรับไว้จึงปราศจากมูลหนี้ที่โจทก์จะต้องชำระแก่จำเลย กรณีจึงไม่ถือว่า จำเลยเป็นผู้ทรงและมีตั๋วสัญญาใช้เงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๐๔ จำเลยเป็นเพียงผู้ยึดถือตั๋วสัญญาใช้เงินไว้แทนโจทก์เท่านั้น โจทก์ยังคงเป็นผู้ทรงและมีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจากจำเลยผู้สั่งจ่ายได้ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้อง
ตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทถึงกำหนดใช้เงินวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๒๓ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ ยังไม่พ้นเวลา ๓ ปี นับแต่ตั๋วถึงกำหนดใช้เงิน ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๐๑
พิพากษายืน