แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนอนาถา ครั้นถึงวันนัดได้สั่งงดไต่สวนเสีย โดยว่าไม่จำเป็นและมีคำสั่งว่า ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย เพราะเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ที่ศาลชั้นต้นสั่งเช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ยังคลาดเคลื่อนอยู่ เพราะเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 ก็พึงยกคำร้องขอฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถานั้นเสีย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรค 3 หาควรที่จะก้าวล่วงไปสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเสียทีเดียวไม่ จึงพิพากษายกคำสั่งศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรค 3 ค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ฎีกาให้คืนจำเลยไป (คดีนี้จำเลยฎีกาได้)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขับไล่
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวาร
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์และยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นสั่งนัดไต่สวนอนาถา
ครั้นถึงวันนัดไต่สวนอนาถา ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาใจความว่า ได้พิเคราะห์ฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ แล้ว ปรากฏว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔ จึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ และงดการไต่สวนอนาถาเสีย
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์คำสั่งที่ยกคำร้องขอฟ้อง (อุทธรณ์) อย่างอนาถาของจำเลย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเมื่อฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามเสียแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ในข้ออนาถาจึงตกไป ตามมาตรา ๑๕๕ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์และยื่นคำร้องขอฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถานั้น ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนอนาถาก่อน แต่ครั้นถึงวันนัดได้สั่งให้งดไต่สวนเสีย โดยว่าไม่จำเป็น และมีคำสั่งว่าไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ โดยว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๔๔ และคำสั่งศาลอุทธรณ์ก็ได้ท้าวความถึงคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์นั้นด้วย แล้วสั่งว่า เมื่อฟ้องอุทธรณ์ต้องห้ามเสียแล้ว อุทธรณ์ในข้ออนาถาจึงตกไป ตามมาตรา ๑๕๕ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ให้ยกคำร้อง ดังนี้ ได้พิเคราะห์แล้วศาลฎีกาเห็นว่า ยังคลาดเคลื่อนอยู่ เพราะเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยที่ ๒ ฟ้องอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔ ก็พึงสั่งยกคำร้องขอฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถานั้นเสีย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๕๖ วรรค ๓ หาควรที่จะก้าวล่วงไปสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ เสียทีเดียวไม่ (เทียบตามนัยฎีกาที่ ๒๕๖/๒๕๐๗ ระหว่างนายวอน วงษ์สวรรค์ โจทก์ นายพิชิต ดิษยนันท์ กับพวก จำเลย) ฎีกาของจำเลยที่ ๒ ฟังขึ้น
พิพากษายกคำสั่งศาลอุทธรณ์และคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสั่งใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๕๖ วรรค ๓ ค่าธรรมเนียมชั้นศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาในชั้นนี้ให้คืนแก่จำเลยที่ ๒ ไป.