คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 410/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 499 แสดงว่า แม้คู่สัญญาขายฝากกันเป็นเงินเท่าใดก็ตาม ก็ยอมให้คู่สัญญากำหนดเงินสินไถ่แตกต่างจากเงินราคาขายฝากได้และไม่จำกัดจำนวน และเมื่อคู่สัญญาไม่ได้กำหนดสินไถ่ไว้ ก็ให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝากฉะนั้น เมื่อคู่สัญญาระบุจำนวนเงินราคาขายฝากไว้โดยไม่ระบุสินไถ่อีกผู้ขายฝากก็ไถ่ตามจำนวนเงินที่ระบุไว้นั้นซึ่งแม้ผิดกับราคาขายฝาก ก็มีผลเช่นเดียวกับระบุสินไถ่ไว้สัญญาขายฝากไม่เป็นโมฆะการกำหนดสินไถ่ไม่ใช่เป็นการเรียกดอกเบี้ยเงินกู้ ไม่ขัดประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 ไม่ผิดพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 537 อัตราค่าเช่านั้นกฎหมายมิได้วางข้อจำกัดอันใดไว้จึงแล้วแต่คู่กรณีจะตกลงกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ขายฝากบ้านแก่โจทก์ ณ ที่ว่าการอำเภอครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ไถ่ ต่อมาวันที่ 1 ธันวาคม 2505 จำเลยตกลงเช่าบ้านนั้นมีกำหนด 1 ปี ค่าเช่าเดือนละ 400 บาท และเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่า จำเลยไม่ยอมทำสัญญาเช่าใหม่และไม่ชำระค่าเช่า 4,800 บาท โจทก์ก็ได้ให้ทนายความบอกกล่าวให้จำเลยคืนบ้านและชำระค่าเช่าที่ค้าง จำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์เสียหายเดือนละ 400 บาท จึงขอให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง 4,800 บาท และชำระค่าเสียหายตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2506 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 3,600 บาท และค่าเสียหายเดือนละ 400 บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกไปจากบ้านโจทก์

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ความจริงจำเลยขายฝากในราคา 4,000 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยถึงร้อยละสิบบาทต่อเดือน จึงเป็นดอกเบี้ยเดือนละ 400 บาท หกเดือนเป็นดอกเบี้ย 2,400 บาท เมื่อรวมกับต้นเงินจึงเป็นเงิน 6,400 บาท เป็นการละเมิดประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 และฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา สัญญาขายฝากจึงไม่สมบูรณ์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิยึดบ้านของจำเลยจำเลยได้มีจดหมายขอมอบบ้านและขอเช่าบ้านจากโจทก์ แต่โจทก์ไม่ยอมให้จำเลยเช่าและไม่ยอมรับบ้านของจำเลย สัญญาเช่าบ้านท้ายฟ้องนั้นโจทก์บังคับให้จำเลยทำขึ้นเพื่ออำพรางการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ขอให้ศาลพิพากษาว่า สัญญาขายฝากสัญญาเช่าเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับให้โจทก์ยอมชำระหนี้ 4,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันศาลพิพากษา จนถึงวันชำระและให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งทำนองเดียวกับคำฟ้องและว่าสัญญาสมบูรณ์

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาขายฝากไม่เป็นโมฆะกรรมสิทธิ์ในบ้านที่ขายฝากจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ สัญญาเช่าไม่เป็นโมฆะ เมื่อพ้นเวลาตามสัญญาเช่าจำเลยมิได้ทำสัญญาเช่าต่อ โจทก์ขอให้คืนบ้านจำเลยก็ไม่ยอมคืน จำเลยจึงอยู่ในบ้านของโจทก์โดยละเมิดพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านพิพาทให้จำเลยใช้ค่าเช่าที่ค้าง 4,800 บาทกับค่าเสียหายรวม 800 บาทและค่าเสียหายเดือนละ 400 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกจากบ้านของโจทก์ให้ยกฟ้องแย้ง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยมิได้กล่าวว่าจำนวนเงินในสัญญาขายฝากนั้นเขียนไว้โดยผิดพลาดด้วยความสำคัญผิดอย่างใด ตามมาตรา 499 บัญญัติว่า “สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กำหนดไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก” ตามมาตรานี้แสดงว่าแม้คู่สัญญาขายฝากกันเป็นเงินเท่าใดก็ตาม ก็ยอมให้คู่สัญญากำหนดเงินสินไถ่แตกต่างจากเงินราคาขายฝากได้ และไม่จำกัดจำนวนเงินเมื่อคู่สัญญาไม่ได้กำหนดสินไถ่ไว้ ก็ให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก ฉะนั้นเมื่อคู่สัญญาระบุจำนวนเงินราคาขายฝากไว้โดยไม่ระบุสินไถ่อีกผู้ขายฝากก็ต้องไถ่ตามจำนวนเงินที่ระบุไว้นั้น ซึ่งแม้จะผิดกับราคาขายฝากก็มีผลเช่นเดียวกับระบุสินไถ่ไว้นั้น สัญญาขายฝากจึงไม่เป็นโมฆะ และการกำหนดสินไถ่ไม่ใช่เป็นการเรียกดอกเบี้ยเงินกู้ จึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 และไม่ผิดพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา

ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาเช่าบ้านเป็นสัญญาอำพรางเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ศาลฎีกาเห็นว่ากรณีมีมูลที่โจทก์จำเลยจะทำสัญญาเช่าต่อกัน กล่าวคือ โจทก์ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ตกลงให้จำเลยได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินของโจทก์ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และจำเลยตกลงให้ค่าเช่าเพื่อการใช้ทรัพย์หรือเพื่อการได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินของโจทก์ อันเป็นการตกลงตามบทบัญญัติ มาตรา 537ซึ่งว่าด้วยการเช่าทรัพย์ ส่วนอัตราค่าเช่านั้น กฎหมายก็มิได้วางข้อจำกัดอันใดไว้จึงแล้วแต่คู่กรณีจะตกลงกัน กรณีไม่มีเหตุที่จะถือว่าสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยเป็นนิติกรรมอำพราง

พิพากษายืน

Share