คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะที่เป็นบุคคลธรรมดาโดยตำแหน่งหน้าที่ราชการในขอบเขตแห่งวงหน้าที่ราชการ ย่อมมีอำนาจเป็นคู่ความในศาลได้เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดว่าง ปลัดจังหวัดเป็นผู้รักษาการแทนปลัดจังหวัดก็ย่อมเป็นบุคคลที่จะเป็นโจทก์ฟ้องร้องได้ในฐานเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47 ที่ว่าคำพิพากษาคดีส่วนแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง นั้นไม่ได้หมายถึงว่าจะไปกลับข้อเท็จจริงที่จะต้องรับฟังตามคำพิพากษาในคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ได้ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องอ้างเหตุจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนจำเลยที่ 2-3 ได้ร่วมกันผิดสัญญารับจ้างเก็บและจ่ายข้าวสารของโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชำระเงินค่าข้าวสาร 2,000 กระสอบ ซึ่งจำเลยนำไปจำหน่ายเป็นเงิน 292,400.00 บาท กับค่าข้าวสารขาด 35,914 กิโลกรัม เงิน 58,539.99 บาท และขาดอีก 5,180 กิโลกรัม เงิน 8,495.20 บาท รวมเป็นเงิน 359,435.19 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่าไม่ได้เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2-3 และไม่ได้ผิดสัญญา

จำเลยที่ 2-3 ต่อสู้ว่ามีโกดังเก็บสินค้าคนละแห่ง และได้ให้จำเลยที่ 1 เช่าไปเก็บข้าวสารโดยจำเลยที่ 2-3 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการรับจ้างเก็บและจ่ายข้าวสารตามที่โจทก์ฟ้อง

ศาลจังหวัดสงขลาพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ให้จำเลยรับผิดร่วมกันเฉพาะใช้ราคาข้าว 2,000 กระสอบ คิดเป็นเงิน 292,400 บาท กับดอกเบี้ย คำขอนอกนั้นให้ยก

โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ศาลชั้นต้นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดใช้ราคาข้าวสารที่ขาดน้ำหนักให้แก่โจทก์ 67,035.19 บาท กับ ดอกเบี้ย

โจทก์จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ในส่วนที่เกี่ยวกับข้อกฎหมายซึ่งจำเลยฎีกาว่าผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ เพราะตำแหน่งหน้าที่ราชการไม่มีตัวตนที่แน่นอน นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ในฐานะที่เป็นบุคคลธรรมดาโดยตำแหน่งหน้าที่ราชการในขอบเขตแห่งวงหน้าที่ราชการย่อมมีอำนาจเป็นคู่ความในคดีในโรงศาลได้ เพราะทางราชการฝ่ายบริหารย่อมทำการแต่งตั้งได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดว่าง ปลัดจังหวัดเป็นผู้รักษาการแทน ปลัดจังหวัดก็ย่อมเป็นบุคคลที่จะเป็นโจทก์ฟ้องร้องได้ในฐานะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด

ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ข้อเท็จจริงควรต้องฟังว่า จำเลยได้เอาข้าวที่โจทก์ฝากไว้ จำนวน 2,000 กระสอบ ไปโดยพลการและยังไม่ได้ชำระราคานั้น ในเรื่องนี้ความสำคัญอยู่ที่ว่า เอกสารใบสั่งให้จำเลยจ่ายข้าวหมาย 1, 2 และ 3 นั้น เป็นคำสั่งของฝ่ายโจทก์จริงหรือไม่ถ้าเป็นจริง ข้าวของโจทก์ที่ฝากไว้ก็ได้จ่ายไปหมดสิ้นแล้วจำเลยไม่มีทางที่จะเอาไปโดยพลการได้อีก 2,000 กระสอบ ในเรื่องนี้ได้มีการดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสามในทางอาญา ฟ้องกล่าวโทษจำเลยว่าปลอมหนังสือและใช้หนังสือปลอม คือ เอกสารหมาย 1,2 และ 3 นั้นคดีถึงศาลฎีกาพิพากษาว่า”คดีไม่มีทางจะฟังว่าเอกสารนั้นปลอม” ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญา ศาลได้ชี้ขาดแล้วว่าเอกสารนั้นไม่ปลอม ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามนั้นที่โจทก์ฎีกาว่า ความจริงเอกสารนั้นปลอมคำพิพากษาคดีส่วนแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ความในมาตรา 47 ไม่ได้หมายถึงว่าจะไปกลับข้อเท็จจริงที่จำต้องรับฟังตาม มาตรา 46 ได้

ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share