แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาในคดีก่อน จำเลยซึ่งเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ในคดีดังกล่าวทำบันทึกข้อตกลงกับจำเลยตามเอกสารหมาย จ.5 มีสาระสำคัญในข้อ 1 ว่า จำเลยจะทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือถอนฟ้องในคดีหมายเลขแดงที่ 573/2544 ของศาลชั้นต้น ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาในวันที่… จะทำกันที่ศาลฎีกา โดยโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ข้อ 2 ในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือถอนฟ้อง โดยตกลงชำระเงินเป็นค่าซื้อขายที่ดินพิพาทจำนวน 40,000,000 บาท โดยชำระในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในวันที่… ให้แก่ผู้ซื้อ โดยผู้ซื้อระบุชื่อจำเลยเป็นผู้รับเงินค่าที่ดิน และจำเลยสามารถตรวจสอบสถานะทางการเงินของผู้ซื้อก่อนวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ได้ ข้อ 5 จำเลยและทายาทของ ห. ทุกคนจะต้องยินยอมให้ความร่วมมือในการที่ ก. จดทะเบียนรับ ส. เป็นบุตรบุญธรรม เพื่อเป็นวิธีการในการรับโอนที่ดินที่เป็นเอกสารสิทธิ ส.ป.ก. 4 – 01 และทายาทของ ห. ทุกคนต้องสละสิทธิในที่ดินทุกแปลงที่ได้ทำการซื้อขายกันตามสัญญาโอนสิทธิฉบับลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2538 ที่ได้ออกหลักฐาน ส.ป.ก. 4 – 01 ในปัจจุบัน ข้อ 6 ในวันที่โจทก์ไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ผู้ซื้อที่สำนักงานที่ดินนั้น จำเลยจะต้องได้รับเงินครบถ้วน 40,000,000 บาท หากโจทก์หรือผู้ซื้อผิดสัญญาให้ถือว่าสัญญาเป็นอันเลิกกัน และโจทก์ยินยอมรับผิดชดใช้เงินค่าที่ดินพร้อมค่าเสียหายแก่จำเลย ในทางกลับกันหากจำเลยผิดนัดไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง จำเลยยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงินค่าปรับ 40,000,000 บาท นั้น บันทึกดังกล่าวมีผลใช้บังคับได้ คู่กรณีต้องดำเนินการทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือถอนฟ้องและชำระเงินกันก่อนศาลฎีกามีคำพิพากษา เพราะเมื่อศาลฎีกาพิพากษาแล้วคำพิพากษาย่อมผูกพันคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ข้อตกลงนอกศาลที่ทั้งสองฝ่ายทำไว้ไม่อาจมีผลเปลี่ยนแปลงหรือเพิกถอนคำพิพากษาได้ ส่วนตามบันทึกข้อตกลงตามเอกสาร จ.5 ข้อ 5 ที่ระบุว่าจำเลยและทายาทอื่นของ ห. ทุกคนต้องยินยอมและให้ความร่วมมือในการที่ ก. ภริยา ห. จดทะเบียนรับ ส. พี่ชายโจทก์เป็นบุตรบุญธรรมเพื่อเป็นวิธีการในการรับโอนที่ดินที่มีหลักฐานเป็น ส.ป.ก. 4 – 01 ดังกล่าว เป็นข้อตกลงที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เนื่องจาก พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 39 บัญญัติว่า “ที่ดินที่บุคคลได้รับสิทธิโดยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะทำการแบ่งแยกหรือโอนสิทธิในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นมิได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม ข้อตกลงดังกล่าวจึงทำขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงข้อห้ามโดยชัดแจ้งของกฎหมาย หาใช่เป็นข้อตกลงที่เป็นการแก้ไขข้อขัดข้องที่กฎหมายเปิดช่องให้กระทำได้ตามที่โจทก์ฎีกา จึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 การที่โจทก์เบิกความว่าเงิน 40,000,000 บาท ที่จะจ่ายให้แก่จำเลยตามบันทึกข้อตกลงนั้น เป็นเงินรวมทั้งหมดไม่ได้แบ่งแยกเป็นหลายแปลง จึงฟังได้ว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาให้จำเลยโอนที่ดินทั้งหมดทุกแปลงแก่โจทก์โดยโจทก์ตกลงจ่ายค่าตอบแทนเป็นเงินรวม 40,000,000 บาท จึงไม่สามารถแยกส่วนที่ไม่เป็นโมฆะออกจากส่วนที่เป็นโมฆะได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับเงินค่าที่ดินโฉนดเลขที่ 44248 และ 44249 เป็นเงิน 40,000,000 บาท หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยและทายาทของนายเหลือพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ในคดีที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนการขายทอดตลาดในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 98/2545 หมายเลขแดงที่ 125/2545 ของศาลจังหวัดตะกั่วป่า ให้จำเลยและทายาทอื่นของนายเหลือยินยอมให้นางกวดจดทะเบียนรับนายสมควรเป็นบุตรบุญธรรมเพื่อให้นายสมควรรับโอนที่ดิน ส.ป.ก.4 – 01 จำเลยและทายาทของนายเหลือต้องสละสิทธิในที่ดินทุกแปลงที่ซื้อขายกันตามสัญญาโอนสิทธิฉบับลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2538 ที่ได้ออกเป็น ส.ป.ก.4 – 01 ในปัจจุบัน หากจำเลยและทายาทอื่นของนายเหลือไม่สามารถโอนที่ดิน ส.ป.ก.4 – 01 และส่งมอบการครอบครองที่ดินที่มีสิทธิการครอบครอง แต่ไม่มีหลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่ให้โจทก์ได้ไม่ว่ากรณีใด ๆ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์โดยคิดเป็นค่าเสียหายจากที่ดินราคาไร่ละ 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากค่าเสียหายทั้งหมดนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยและทายาทอื่นของนายเหลือไม่สามารถปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงฉบับลงวันที่ 9 พฤษภาคม 2549 ได้ไม่ว่ากรณีใด ๆ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 40,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องสอดทั้งแปดยื่นคำร้องขอให้พิพากษาให้บันทึกข้อตกลงตามเอกสารท้ายฟ้องระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่มีผลผูกพันบังคับเอากับที่ดินพิพาทในส่วนของผู้ร้องสอด จำนวน 8 ใน 9 ส่วน และพิพากษาว่าสัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะหรือสิ้นผลผูกพัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
โจทก์ให้การแก้คำร้องสอดขอให้ยกคำร้องสอด
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยและผู้ร้องสอดทั้งแปด โดยกำหนดค่าทนายความ 12,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ แทนจำเลยและผู้ร้องสอดทั้งแปดโดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อปี 2540 นายเหลือ บิดาจำเลยและผู้ร้องสอดทั้งแปดเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยว่าโจทก์กับพวกหลอกลวงนายเหลือให้ขายที่ดินตามแบบแจ้งการครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 226 ตำบลกะรน อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต และที่ดินที่มีอาณาเขตติดต่อกันทั้งที่มีหลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่และไม่มีหลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่ รวมเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 45 ไร่ ต่อมาโจทก์นำที่ดินตาม ส.ค.1 ดังกล่าวไปออกโฉนดที่ดินในชื่อโจทก์ตามโฉนดเลขที่ 44248 และ 44249 ขอให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสองโฉนดดังกล่าวและส่งมอบการครอบครองที่ดินดังกล่าวและที่ดินอื่นแก่นายเหลือ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายเหลือคืนเงินแก่โจทก์จำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้รับเงินวันที่ 18 กรกฎาคม 2538 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 44248 และ 44249 ส่งมอบโฉนดที่ดินและมอบการครอบครองที่ดินทั้งสองโฉนดดังกล่าวรวมทั้งที่ดินที่ติดต่อกันแก่นายเหลือ หากโจทก์ไม่สามารถปฏิบัติได้ก็ให้ใช้เงิน 40,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องวันที่ 20 มีนาคม 2540 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่นายเหลือ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคดีหมายเลขแดงที่ 573/2544 โจทก์อุทธรณ์ ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 นายเหลือถึงแก่ความตาย จำเลยคดีนี้จึงเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง นายเหลือโดยจำเลยคดีนี้ซึ่งเข้าเป็นคู่ความแทนฎีกา ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์จำเลยทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.5 เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2549 ต่อมาศาลฎีกาพิพากษากลับให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7211/2549 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2549 ซึ่งศาลชั้นต้นอ่านให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2550
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.5 มีผลบังคับให้จำเลยต้องปฏิบัติตามหรือไม่ บันทึกข้อตกลงดังกล่าวมีสาระสำคัญในข้อ 1 ว่า จำเลยจะทำการประนีประนอมยอมความหรือถอนฟ้องในคดีหมายเลขแดงที่ 573/2544 ของศาลชั้นต้นซึ่งขณะนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ภายในวันที่… จะทำกันที่ศาลฎีกา โดยโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการดำเนินการ ข้อ 2 ในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือถอนฟ้อง โจทก์ตกลงชำระเงินเป็นค่าซื้อขายที่ดินพิพาท เป็นเงินจำนวน 40,000,000 บาท โดยชำระให้แก่จำเลยในวันที่โจทก์ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในวันที่… ให้แก่ผู้ซื้อ โดยให้ผู้ซื้อระบุชื่อจำเลยเป็นผู้รับเงินค่าที่ดิน และจำเลยสามารถตรวจสอบสถานะการเงินของผู้ซื้อก่อนวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ได้ ข้อ 5 จำเลยและทายาทอื่นของนายเหลือทุกคนจะต้องยินยอมและให้ความร่วมมือในการที่นางกวด จดทะเบียนรับนายสมควรเป็นบุตรบุญธรรมเพื่อเป็นวิธีการในการรับโอนที่ดินที่เป็นเอกสารสิทธิ ส.ป.ก.4 – 01 และทายาทของนายเหลือทุกคนจะต้องสละสิทธิในที่ดินทุกแปลงที่ได้ทำการซื้อขายกันตามสัญญาโอนสิทธิ ฉบับลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2538 ที่ได้ออกเป็นหลักฐาน ส.ป.ก.4 – 01 ในปัจจุบัน ข้อ 6 ในวันที่โจทก์ไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ผู้ซื้อที่สำนักงานที่ดินนั้น จำเลยจะต้องได้รับเงินครบถ้วนจำนวน 40,000,000 บาท หากโจทก์หรือผู้ซื้อผิดสัญญา ให้ถือว่าสัญญานี้เป็นอันเลิกกัน และโจทก์ยินยอมรับผิดชดใช้เงินค่าที่ดินจำนวน 40,000,000 บาท พร้อมค่าเสียหายและค่าปรับเป็นเงินจำนวน… บาท แก่จำเลย ในทางกลับกันหากจำเลยผิดนัดไม่ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลง จำเลยยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงินค่าปรับ จำนวน 40,000,000 บาท โจทก์เบิกความว่า หลังจากทำสัญญาบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.5 แล้ว จำเลยไม่ยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือถอนฟ้องตามข้อตกลง จำเลยบ่ายเบี่ยงผัดผ่อนตลอดมาจนกระทั่งศาลฎีกามีคำพิพากษาแล้วจำเลยก็ไม่ยอมรับเงินค่าที่ดินพิพาทจำนวน 40,000,000 บาท เพื่อโจทก์จะได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 44248 และ 44249 ให้แก่ผู้ซื้อตามข้อตกลง จำเลยเบิกความว่า จำเลยหลงเชื่อตามที่โจทก์หลอกลวงว่าโจทก์มีเงินจำนวน 40,000,000 บาท พร้อมที่จะชำระให้แก่จำเลย จำเลยจึงยินยอมทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.5 ในวันทำบันทึกจำเลยยังไม่ให้ระบุวันที่ในการดำเนินการตามบันทึกข้อ 1 และข้อ 2 โดยจะให้ระบุเมื่อจำเลยได้ตรวจสอบสถานะทางการเงินของฝ่ายโจทก์ก่อน ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม 2549 โจทก์ทำทีนัดจำเลยไปตรวจสอบสถานะทางการเงินตามข้อตกลง โดยนัดจำเลยไปที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนเจ้าฟ้า แต่โจทก์ก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้จำเลยตรวจสอบสถานะทางการเงิน แสดงว่าโจทก์ไม่มีเงินที่จะชำระให้จำเลย ถือว่าโจทก์ผิดสัญญาตามข้อ 6 จำเลยจึงทวงถามให้โจทก์ปฏิบัติตามข้อตกลงภายในเดือนพฤษภาคม 2549 มิฉะนั้นให้ถือว่าบันทึกข้อตกลงเป็นอันเลิกกัน ข้อตกลงดังกล่าวจึงเลิกกันตั้งแต่สิ้นเดือนพฤษภาคม 2549 แล้ว เห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 573/2544 ของศาลชั้นต้น ซึ่งนายเหลือเป็นฝ่ายชนะคดีในศาลชั้นต้น แต่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ การที่โจทก์จำเลยทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.5 หากบันทึกดังกล่าวมีผลใช้บังคับได้ คู่กรณีก็จะต้องดำเนินการทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือถอนฟ้องและชำระเงินกันก่อนศาลฎีกามีคำพิพากษา เพราะเมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาแล้วคำพิพากษาย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ข้อตกลงนอกศาลที่ทั้งสองฝ่ายทำไว้ไม่อาจมีผลเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกเพิกถอนคำพิพากษาได้ อย่างไรก็ตามศาลฎีกาเห็นว่า ตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 5 ที่ระบุว่า จำเลยและทายาทอื่นของนายเหลือทุกคนจะต้องยินยอมและให้ความร่วมมือในการที่นางกวดภริยานายเหลือจดทะเบียนรับนายสมควรพี่ชายโจทก์เป็นบุตรบุญธรรมเพื่อเป็นวิธีการในการรับโอนที่ดินที่มีหลักฐานเป็น ส.ป.ก.4 – 01 และทายาททุกคนของนายเหลือจะต้องสละสิทธิในที่ดินทุกแปลงที่ได้ทำการซื้อขายกันตามสัญญาโอนสิทธิฉบับลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2538 ที่ได้ออกหลักฐานเป็น ส.ป.ก.4 – 01 นั้น เป็นข้อตกลงที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เนื่องจากพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 39 บัญญัติว่า “ที่ดินที่บุคคลได้รับสิทธิโดยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะทำการแบ่งแยก หรือโอนสิทธิในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นมิได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม…” การที่โจทก์จำเลยตกลงกันให้นายสมควรพี่ชายโจทก์เข้าเป็นบุตรบุญธรรมของนางกวดภริยานายเหลือเพื่อจะได้รับโอนที่ดินพิพาทนั้น เป็นข้อตกลงที่ทำขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงข้อห้ามโดยชัดแจ้งของกฎหมาย หาใช่เป็นข้อตกลงที่เป็นการแก้ไขข้อขัดข้องที่กฎหมายเปิดช่องให้กระทำได้ดังที่โจทก์ฎีกาไม่ ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ต่อไปว่า ตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.5 สามารถแยกส่วนที่ไม่เป็นโมฆะออกจากส่วนที่เป็นโมฆะได้หรือไม่ โจทก์เบิกความว่า เงินจำนวน 40,000,000 บาท ที่จะจ่ายให้แก่จำเลยตามบันทึกข้อตกลงนั้น เป็นเงินรวมทั้งหมดไม่ได้แบ่งแยกเป็นหลายแปลง จึงฟังได้ว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาให้จำเลยโอนที่ดินทั้งหมดทุกแปลงแก่โจทก์โดยโจทก์ตกลงจ่ายค่าตอบแทนเป็นเงินรวม 40,000,000 บาท จึงไม่สามารถแยกส่วนที่ไม่เป็นโมฆะออกจากส่วนที่เป็นโมฆะได้ดังที่โจทก์ฎีกา ฎีกาข้ออื่นของโจทก์ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ