แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง เดิมระบุค่าก่อสร้าง 18,540,000 บาท และมีสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาเดิมอีกสัญญาหนึ่ง โดยทำเป็นข้อตกลงเพิ่มเติมแนบท้ายสัญญาดังกล่าวให้มีการใช้สัญญาแบบปรับราคาได้มาใช้ ต่อมาโจทก์และจำเลยได้มีการทำสัญญาขึ้นอีกฉบับหนึ่งเป็นฉบับที่สามตกลงราคาค่าก่อสร้างเป็น 26,011,005 บาท จึงเป็นสัญญาแก้ไขสัญญาเดิมในเรื่องราคาค่าก่อสร้างเป็นสำคัญ และได้ระบุไว้ในสัญญาดังกล่าวด้วยว่างานตาม สัญญานี้เป็นสัญญาแบบปรับราคาได้ การคิดคำนวณการใช้สัญญาแบบปรับราคาได้จึงต้องคิดจากยอดเงินตาม สัญญาฉบับที่สามโดยใช้ดัชนีค่าวัสดุก่อสร้าง ณ วันที่ได้มีการส่งมอบงานงวดสุดท้าย เปรียบเทียบกับวันที่ได้ เสนอราคาใหม่ เมื่อสัญญาฉบับที่สามเป็นการแก้ไขสัญญาเดิมโดยยกเลิกราคาก่อสร้างจากสัญญาเดิมมาเป็นราคาตามสัญญาใหม่ ซึ่งเป็นราคาที่มากกว่าเดิมถึง 7,000,000 เศษ ราคาใหม่เป็นราคาคิดตามดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง ณ เดือนที่ได้เสนอราคาใหม่บวกกำไรไว้ด้วยแล้ว ฉะนั้นเมื่อมีการส่งมอบงานและจะขอให้มีการจ่ายค่างานเพิ่มจึงย่อมหมายถึงจำนวน 26,011,005 บาท ตามสัญญาใหม่ หาใช่จำนวน 18,540,000 บาท ตามสัญญาเดิม ซึ่งคู่สัญญาตกลงยกเลิกไปแล้วไม่ ดังนั้น การคำนวณการใช้สัญญาแบบปรับราคาได้โดยเปรียบเทียบกับดัชนีค่าวัสดุก่อสร้าง ณ เดือนที่โจทก์ได้เสนอราคาใหม่จึงชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินชดเชยหรือเงินเพิ่มค่าก่อสร้างเป็นเงิน 7,175,151.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 6,614,654 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะวินิจฉัยมีเพียงว่า โจทก์มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยตามสัญญาแบบปรับราคาได้หรือไม่ เห็นว่า การที่จะนำดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างเดิมหรือราคาค่างานก่อสร้างเดิม เมื่อวันเปิดซองประกวดราคามาใช้เพื่อคำนวณค่างานที่จะจ่ายเพิ่มได้นั้น คู่กรณีจะต้องตกลงกันทำสัญญาเพียง 2 สัญญา คือสัญญาซึ่งระบุราคาค่างานไว้ตามราคาเมื่อวันเปิดซองประกวดราคาสัญญาหนึ่ง และสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาเดิมให้มีการใช้สัญญาแบบปรับราคาได้อีกสัญญาหนึ่ง ซึ่งโจทก์จำเลยคดีนี้ก็ได้มีการทำสัญญาเช่นว่านี้ไว้ คือสัญญาเลขที่ 48/2527 ซึ่งเป็นสัญญาจ้างเหมา ก่อสร้างเดิมซึ่งทำเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2527 ระบุราคาค่าก่อสร้าง 18,540,000 บาท และสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม สัญญาเดิมอีกสัญญาหนึ่ง โดยทำเป็นข้อตกลงเพิ่มเติมแนบท้ายสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างเลขที่ 48/2527 โดยทำเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2531 ให้มีการใช้สัญญาแบบปรับราคาได้มาใช้แต่ข้อเท็จจริงปรากฏอีกว่า เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2534 โจทก์ได้มีหนังสือถึงจำเลย เรื่อง การเลิกสัญญาจ้างและเรียกเงินค่างานความว่า เนื่องจากสัญญาเลขที่ 48/2527 ได้ทำมานานแล้ว แต่จำเลยก็ไม่อาจส่งมอบสถานที่ก่อสร้างได้ เท่ากับว่าสัญญาได้เลิกกันโดยปริยายแล้ว แต่โจทก์ก็ยินดีจะทำสัญญากับจำเลยใหม่ เพราะราคาเดิมได้เสนอไว้บนพื้นฐานของราคาวัสดุเมื่อ พ.ศ. 2527 ซึ่งปัจจุบันไม่อาจก่อสร้างได้ในราคานั้นอีก เพื่อความร่วมมือและประโยชน์ของทางราชการ โจทก์ขอเสนอราคาใหม่เป็นเงิน 27,000,000 บาท ฯลฯ ซึ่งจำเลยก็ได้เจรจากับโจทก์ขอลดราคาลงเหลือ 26,011,005 บาท โจทก์ตกลงจึงได้มีการทำสัญญากันขึ้นอีกฉบับหนึ่งเป็นฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2536 เป็นสัญญาเลขที่ 3/2536 และเป็นสัญญาแก้ไขสัญญาเลขที่ 48/2527 ในเรื่องราคาก่อสร้างเป็นสำคัญสัญญาเลขที่ 3/2536 ระบุไว้ในข้อ 6 ด้วยว่างานตามสัญญานี้เป็นสัญญาแบบปรับราคาได้ แต่ก็เป็นที่เห็นได้ตามหนังสือเลิกสัญญาและเสนอราคาใหม่ ที่โจทก์มีถึงจำเลย ประกอบกับคำเบิกความของ พยานจำเลยที่ว่าสาระสำคัญของสัญญาเลขที่ 3/2536 ก็คือนั้นการเปลี่ยนราคาให้เป็นปัจจุบัน กับคำเบิกความของ นางสาว ว. พยานจำเลยผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิเคราะห์งบประมาณ 7 ที่ว่า หนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างของโจทก์ ซึ่งมีการเสนอราคาใหม่มาด้วยนั้นได้ทำขึ้นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2534 จึงเป็นการเสนอราคาตามดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง ณ เดือนพฤศจิกายน 2534 การคิดคำนวณค่า K จึงต้องคิดจากยอดเงิน 26 ล้านบาทเศษ ตามสัญญาเลขที่ 3/2536 โดยใช้ดัชนีค่าวัสดุก่อสร้าง ณ วันที่ได้การส่งมอบงานงวดสุดท้ายเปรียบเทียบกับวันทีได้มีการเสนอราคาใหม่ คือ เดือนพฤศจิกายน 2534 ศาลฎีกาจึงเห็นว่า สัญญาเลขที่ 3/2536 เป็นสัญญาแก้ไขสัญญาเลขที่ 48/2527 โดยยกเลิกราคาค่าก่อสร้างจาก 18,540,000 บาท สัญญาเดิมมาเป็นราคา 26,011,005 บาท ตามสัญญาใหม่ ซึ่งเป็นราคาที่มากกว่าเดิมถึง 7 ล้านเศษราคาใหม่เป็นราคาที่คิดตามดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง ณ เดือน พฤศจิกายน 2534 บวกกำไรไว้ด้วยแล้ว ฉะนั้นเมื่อมีการส่งมอบงานและจะขอให้มีการจ่ายค่างานเพิ่มโดยคำนวณจากสูตร P = (Po) x (K) ค่า Po หรือราคาค่างาน ต่อหน่วยซึ่งระบุไว้ในสัญญาจึงย่อมหมายถึงจำนวน 26,011,005 บาท หาใช่จำนวน 18,540,000 บาท ซึ่งคู่สัญญาตกลงยกเลิกไปแล้วไม่ ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคำนวณค่า K โดยเปรียบเทียบดัชนีค่าวัสดุก่อสร้างเดือนที่ส่งมอบงานในแต่ละงวดกับดัชนีค่าวัสดุก่อสร้าง ณ เดือนที่โจทก์ได้เสนอราคาใหม่จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 10,000 บาท แทนจำเลย.