คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 903/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขออนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตเพราะเห็นว่าเป็นการจงใจ ขาดนัดและไม่มีเหตุสมควร ยกคำร้องคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว เป็นคำสั่งเกี่ยวกับคำร้อง ขออนุญาตยื่นคำให้การ มิใช่คำสั่ง ไม่รับคำให้การของจำเลยอันจะถือได้ว่าเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18กรณีจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาก่อนที่ศาลชั้นต้นจะได้มี คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดแห่งคดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ คำสั่งดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าปรับตามสัญญาพร้อมดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องจำนวน 294,141.50 บาทกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลย โดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2539 แต่จำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด ต่อมาวันที่ 16 กันยายน 2539 จำเลยยื่นคำร้องว่าไม่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องของโจทก์การขาดนัดของจำเลยมิได้เป็นไปโดยจงใจ ขออนุญาตยื่นคำให้การภายใน 15 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งไม่อนุญาตเพราะเห็นว่าการขาดนัดเป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุสมควรให้ยกคำร้อง ศาลฎีกาเห็นว่า คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลย มิใช่คำสั่งไม่รับคำให้การของจำเลยอันถือเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 จึงเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาก่อนที่ศาลชั้นต้นจะได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดี ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวในระหว่างพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์จำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล”
พิพากษายืน

Share