แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เรียกเอาเงินจากผู้เสียหายว่าจะไปให้ตำรวจเพื่อช่วยระงับเรื่องให้ผู้ต้องหาในคดีหนึ่ง แต่แล้วไม่ช่วยเหลืออย่างไร เป็นเรื่องจะนำสินบนไปให้เจ้าพนักงาน ไม่ใช่เรื่องแสดงตนว่าสนิทชิดชอบกับเจ้าพนักงานไม่เข้า ม.123, หลอกลวงเอาเงินจากเขาโดยอ้างว่า จะเอาไปให้เจ้าพนักงานในการช่วยเหลือผู้ถูกจับกุมเป็นผิดฐานฉ้อโกง,ผู้เสียหายเล่าเรื่องที่ถูกหลอกลวงให้นายร้อยตำรวจผู้หนึ่งฟังจนถึงมีการสอบสวนความผิดกันขึ้นเรียกว่ามีการร้องทุกตามกฎหมายแล้ว, ในเรื่องฉ้อโกงซึ่งเจ้าทุกมอบเงินให้จำเลยไปเพื่อเอาไปให้สินบนแก่เจ้าพนักงานนั้นอัยการจะขอให้จำเลยคืนเงินที่ถูกฉ้อไปนั้น ไม่ได้
ย่อยาว
ได้ความว่าจำเลยเรียกเงินจากผู้เสียหาย ๒๐๐ บาท อ้างว่าเพื่อนำไปให้ตำรวจสันติบาล ๔ นายเพื่อให้ระงับคดีเรื่องหนึ่งและได้มาเรียกอีกครั้งหนึ่ง แต่ผู้เสียหายไม่มีเงินให้ ครั้นผู้ต้องหาคดีนั้นถูกปล่อยตัวมาจึงทราบขึ้นว่าจำเลยไม่ได้เอาเงินไปช่วยตามที่รับปากไป ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๑๒๓,๓๐๔ จำคุก ๓ ปี กับให้ใช้เงิน ๒๐๐ บาทแก่ผู้เสียหายด้วย ส่วนจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ความว่าทำผิด ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าความผิดของจำเลยไม่เข้ามาตรา ๑๒๓ ส่วนความผิดฐานฉ้อโกงไม่ได้ความว่ามีการร้องทุก จึงพิพากษาแก้ให้
ปล่อยจำเลยที่ ๑ ด้วย
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมิได้แสดงว่าสนิทชิดขอบกับเจ้าพนักงาน แต่เป็นเรื่องที่จำเลยจะนำสินบนไปให้เจ้าพนักงานเท่านั้นรูปคดีจึงไม่เข้ามาตรา ๑๒๓ ส่วนความผิดฐานฉ้อโกงนั้น ผู้เสียหายได้เล่าเรื่องนี้ให้นายร้อยตำรวจเอกแสวงฟัง จึงมีการสอบสวนกันขึ้นนับว่ามีการร้องทุกตามกฎหมายแล้ว จึงพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ ยืนตามศาลชั้นต้น แต่แก้กำหนดโทษเป็นให้จำคุก ๖ เดือน ส่วนข้อที่โจทก์ขอให้คืนเงิน ๒๐๐ บาทด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามมาตรา ๔๑๑ ป.พ.พ. ผู้เสียหายไม่มีสิทธิจะได้คืน เพราะเหตุว่าการที่จำเลยที่ ๑ จะนำเงิน ๒๐๐ บาทไปให้สินบนแก่เจ้าพนักงานนั้นเป็นการผิดกฎหมาย ให้ยกคำขอของโจทก์ในข้อนี้เสีย