คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 769/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในคดีอาญาที่มีผู้เสียหายหลายคน แม้จะมีผู้เสียหายคนหนึ่งฟ้องผู้กระทำความผิดก่อนแล้วก็ตาม ผู้เสียหายคนอื่นก็มีสิทธิฟ้อง ผู้กระทำผิดได้อีก เพราะ ป.วิ.อ. ไม่มีบทบัญญัติห้ามผู้เสียหาย คนอื่นฟ้องผู้กระทำผิดอีกและแม้ ป.วิ.อ. มาตรา 15 จะให้นำ ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง(1) มาใช้บังคับในคดีอาญา แต่ มาตรา 173 วรรคสอง (1) ก็ห้ามเฉพาะโจทก์ในคดีเดิมเท่านั้น มิให้ฟ้องจำเลยซ้ำในเรื่องเดียวกันดังนี้ เมื่อโจทก์ยังไม่เคยฟ้อง จำเลยที่ 2 ในเรื่องเดียวกับที่ฟ้องคดีนี้มาก่อน และการที่ ม. ภรรยาโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในเรื่องเดียวกับคดีนี้ก็ไม่ถือว่าเป็น การฟ้องแทนโจทก์ ฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็น ฟ้องซ้อนกับคดีอาญาที่ ม. ภรรยาโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ดังกล่าว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยทั้งสองสมคบกันปลอมหนังสือสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำอันเป็นเอกสารสิทธิ โดยจำเลยทั้งสองปลอมลายมือชื่อโจทก์ ทั้งชื่อตัวและชื่อสกุลลงในช่องผู้จะขายมีจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในช่องผู้จะซื้อโดยมีเจตนาเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงทำให้โจทก์เสียหายต่อมาจำเลยทั้งสองสมคบกันใช้หรืออ้างเอกสารสิทธิดังกล่าวมาฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264,265, 268, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 268, 91 แต่ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา 268 จำคุกคนละ 2 ปี คำให้การของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามมาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 1 ปี 4 เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า เกี่ยวกับการกระทำของจำเลยที่ 2ตามฟ้องคดีนี้ นางมุยเตียง ศรีแสงภรรยาโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 2 ไว้แล้ว ศาลชั้นต้นได้ออกหมายจับจำเลยที่ 2 และให้จำหน่ายคดีชั่วคราวได้ตัวจำเลยที่ 2 มาแล้วจะได้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1657/2529 ของศาลชั้นต้น ถือว่าคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ฟ้องโจทก์คดีนี้สำหรับจำเลยที่ 2 จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ส่วนจำเลยที่ 1 พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักพอฟังลงโทษได้ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2529 จำเลยที่ 2 ได้ฟ้องโจทก์และนางมุยเตียงภรรยาโจทก์ ต่อมาศาลชั้นต้นให้โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 40541ตำบลหัวทะเล อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ของโจทก์และนางมุยเตียงให้จำเลยที่ 2 ตามสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมายจ.1 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2529 แล้วถอนฟ้องไป ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1521/2529 ของศาลชั้นต้น ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้นางมุยเตียงได้ฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 2 ปลอมเอกสารหมาย จ.1 และใช้เอกสารปลอมดังกล่าว ศาลชั้นต้นได้ออกหมายจับจำเลยที่ 2 และจำหน่ายคดีชั่วคราวปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่1657/2529 ของศาลชั้นต้น แม้โจทก์ไม่ได้ฎีกาว่าฟ้องของโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1657/2529 ของศาลชั้นต้น แต่เมื่อโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามฟ้องด้วยก็จำเป็นต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่าฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เป็นฟ้องซ้อนกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1657/2529 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีอาญาที่มีผู้เสียหายหลายคน ผู้เสียหายแต่ละคนย่อมมีสิทธิฟ้องผู้กระทำผิดได้ การที่ผู้เสียหายคนหนึ่งคนใดฟ้องผู้กระทำผิดก่อน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาก็ไม่มีบทบัญญัติห้ามผู้เสียหายคนอื่นฟ้องผู้กระทำผิดอีก ส่วนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1)ซึ่งได้บัญญัติห้ามโจทก์เมื่อได้ยื่นฟ้องต่อศาลแล้วและคดีอยู่ในระหว่างพิจารณายื่นคำฟ้องจำเลยเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่นอีก ก็เป็นการห้ามเฉพาะโจทก์ในคดีเดิมเท่านั้นมิให้ฟ้องจำเลยซ้ำในเรื่องเดียวกัน แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 จะให้นำมาใช้บังคับในคดีอาญาได้ แต่โจทก์ก็ไม่ได้ฟ้องจำเลยที่ 2 ในเรื่องเดียวกันกับที่ฟ้องคดีนี้มาก่อน การที่นางมุยเตียงภรรยาโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในเรื่องเดียวกับคดีนี้ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1657/2529 ของศาลชั้นต้น ก็ยังไม่ถือว่าเป็นการฟ้องแทนโจทก์ด้วย ฟ้องของโจทก์คดีนี้เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีอาญาดังกล่าว…”
พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265, 268 ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมเพียงกระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง จำคุกคนละ 2 ปีคำเบิกความของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน.

Share