คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 769/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นหญิงอายุ 28 ปี ขับรถมาคนเดียวขณะหยุดรถรอสัญญาณไฟเมื่อเวลา 21 นาฬิกาได้มีคนร้ายเปิดประตูรถเข้าไปนั่งคู่และใช้ระเบิดมือขู่ให้ขับรถไป จำเลยตกใจขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟออกไปชนรถที่แล่นสวนมาโดยไม่ได้เจตนา ตามพฤติการณ์เช่นนี้ จะว่าการชนเกิดเพราะความประมาทของจำเลยไม่ได้ เพราะบุคคลที่อยู่ในภาวะตกตลึงกลัวจะให้มีความระมัดระวังเช่นบุคคลปกติหาได้ไม่ เมื่อจำเลยไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำละเมิดจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่รถชนกันนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๐๗ เวลากลางคืน จำเลยขับรถยนต์เบ๊สซ์ไปตามซอยร่วมฤดี ขณะจอดคอยสัญญาณไฟเพื่อจะออกถนนเพลินจิตร มีคนร้ายเข้ามาในรถจำเลยและใช้วัตถุซึ่งจำเลยเข้าใจว่าเป็นระเบิดมือบังคับให้จำเลยขับรถต่อไป จำเลยยินยอมขับต่อไปแต่จำเลยขับด้วยความประมาทคือฝ่าฝืนสัญญาณไฟ ขับเร็วกว่าชั่วโมงละ ๔๕ กิโลเมตร และขับกินทางขวามากเป็นเหตุให้ชนรถซีตรองซึ่งจอดหยุดอยู่เสียหายไป ๑๓,๘๐๕ บาท รถซีตรองเป็นของบริษัทสยามมอเตอร์ซัพพลาย จำกัด เอาประกันไว้กับโจทก์ โจทก์ต้องใช้ค่าเสียหายตามจำนวนดังกล่าวให้บริษัทสยามมอเตอร์ซัพพลาย จำกัดไปแล้ว ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๑๓,๘๐๕ บาท และดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันละเมิดจนชำระเงินเสร็จ
จำเลยให้การว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นหญิงลำพังผู้เดียวและเวลากลางคืนถูกคนร้ายมีระเบิดมือขู่เข็ญเพื่อชิงทรัพย์ จำเลยจึงต้องป้องกันตัว ทั้งการชนกันนี้เกิดจากเหตุสุดวิสัยโดยถูกคนร้ายขู่เข็ญ จำเลยไม่สามารถควบคุมสติได้ จึงไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยทำขณะตกใจ เป็นเหตุสุดวิสัยไม่ต้องรับผิด พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคนร้ายไม่ได้บังคับให้ขับไปด้วยอาการอย่างไร จำเลยยังต้องใช้ความระมัดระวังตามวิสัยของคนขับรถเช่นเดิม เมื่อขาดความระมัดระวังไปชนรถอื่นก็ต้องรับผิด จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทน ๑๓,๘๐๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๐๗ จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาคดีแล้ว ทางพิจารณาคงฟังข้อเท็จจริงได้ว่าในคืนเกิดเหตุ เวลา ๒๑ นาฬิกาเศษ จำเลยคนเดียวขับรถยนต์เบ๊นซ์ไปในซอยร่วมฤดี ตอนจะออกถนนเพลินจิต ขณะหยุดรถรอสัญญาณไฟมีคนร้ายเปิดประตูรถเข้าไปนั่งคู่ ใช้ลูกระเบิดมือขู่บอกให้ขับรถไป จำเลยตกใจกลัวจึงขับรถฝ่าไฟแดงออกไปแล้วเลี้ยวซ้าย พร้อมกับร้องขอความช่วยเหลือ ขณะนี้นายจันทร์ขับรถยนต์ซีตรองจากสี่แยกราชประสงค์จะผ่านปากซอยร่วมฤดี แต่เมื่อเห็นรถจำเลยวิ่งฝ่าไฟแดงออกมา นายจันทร์หยุดรถ รถจำเลยก็วิ่งมาชนเอา รถทั้ง ๒ คันวิ่งต่อไปไม่ได้ คนร้ายพยายามหนีออกทางหน้าต่างรถ จำเลยจับขาคนร้ายไว้ มีตำรวจมาจับคนร้ายได้
ศาลฎีกาได้พิจารณาเห็นว่า เมื่อคิดถึงเหตุผลที่ว่าจำเลยเป็นหญิงอายุ ๒๘ ปี อยู่ในรถยนต์แต่ลำพังผู้เดียว ในเวลากลางคืนประมาณ ๒๑ นาฬิกา คนร้ายมีอาวุธเข้ามาบังคับให้ขับรถไป ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะเอาไปทำร้ายแรงขนาดไหน จำเลยจึงน่าจะตกใจขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟพรวดพราดออกไปชนเอารถซีตรองโดยไม่ได้เจตนาตรงปากซอยที่ออกไปนั่นเอง จะว่าการชนเกิดเพราะความประมาทของจำเลยก็ไม่ได้ เพราะบุคคลที่อยู่ในภาวะตกตลึงกลัว จะให้มีความระมัดระวังเช่นบุคคลปกติหาได้ไม่ ศาลฎีกาจึงฟังว่าจำเลยไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำละเมิด แต่เป็นเรื่องเกิดขึ้นโดยกระทันหันซึ่งจำเลยในฐานะเช่นนั้นไม่อาจป้องกันได้ จำเลยหาต้องรับผิดต่อโจทก์ไม่ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share