แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาประนีประนอมยอมความที่คู่กรณีตกลงกันต่อหน้าศาล และศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้วนั้น มีผลทำให้หนี้เดิมระงับ เกิดหนี้ใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งคู่กรณีต้องปฏิบัติตามสัญญานั้น หากโจทก์เห็นว่าคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ถูกต้องก็อาจจะอุทธรณ์ได้หากเข้ากรณีตามมาตรา 138 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์และคดีถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนได้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อตกลงว่า จะบังคับชำระหนี้ด้วยวิธีการให้โจทก์โอนที่ดินทั้งแปลงให้แก่จำเลยเพื่อชำระหนี้เงินกู้ ดังนี้ ข้อตกลงนั้นไม่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า เดิมจำเลยได้ฟ้องโจทก์ทั้งสองให้ชำระหนี้เงินกู้และบังคับจำนอง ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยโจทก์ทั้งสองยอมชำระเงิน ๒๔๕,๐๐๐ บาทให้แก่จำเลยในคดีนี้ภายในกำหนด ๒ เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากโจทก์ทั้งสองผิดนัดหรือไม่สามารถชำระหนี้ โจทก์ทั้งสองยอมไปจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๑๔๙๔ ให้แก่จำเลย หากไม่ไป ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาตามยอมแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ทั้งสอง ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม โจทก์ทั้งสองได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้แก่จำเลยจำเลยหลีกเลี่ยงไม่ยอมให้พบ เนื่องจากจำเลยมีเจตนาที่จะอ้างว่าโจทก์ทั้งสองผิดนัดเพื่อให้โจทก์ทั้งสองโอนที่ดินให้แก่จำเลย สัญญาประนีประนอมยอมความที่มีข้อตกลงว่า หากโจทก์ทั้งสองผิดนัดโจทก์ทั้งสองยอมไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่จำเลยเพื่อเป็นการชำระหนี้นั้น ข้อตกลงในส่วนนี้ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๑๑ และขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เพราะที่ดินมีราคาสูงกว่าจำนวนหนี้อย่างมาก ข้อตกลงในส่วนนี้จึงเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความในส่วนที่บังคับให้โจทก์ทั้งสองต้องโอนที่ดินให้แก่จำเลย และให้จำเลยรับชำระเงินที่โจทก์ทั้งสองค้างชำระ ๒๔๕,๐๐๐ บยาท พร้อมทั้งจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว หากจำเลยไม่ไปไถ่ถอนจำนองขอให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ทั้งสองชอบที่จะว่ากล่าวกับจำเลยในคดีเดิม ไม่ปรากฏว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสองประการใดขึ้นใหม่ จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมนั้นเป็นการบังคับให้คู่กรณีปฏิบัติตามสัญญาที่คู่กรณีตกลงกันต่อหน้าศาลข้อตกลงกันในส่วนที่จะบังคับชำระหนี้ด้วยวิธีการให้โจทก์ทั้งสองโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๑๔๙๔ ทั้งแปลงให้แก่จำเลยนั้น เป็นข้อตกลงที่ไม่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นเรื่องเกี่ยวกับการชำระหนึ้เงินกู้ และคู่กรณีอาจจะไปจดทะเบียนโอนที่ดินได้ตามที่ยอมความกัน สัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำกันมีผลทำให้หนี้เดิมระงับไปเกิดหนี้ใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้พิพากษาให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ หากโจทก์ทั้งสองเห็นว่าไม่ถูกต้องก็อาจจะอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมดังกล่าวได้หากเข้ากรณีตามมาตรา ๑๓๘ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อโจทก์ทั้งสองไม่อุทธรณ์แล้ว และคดีถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องร้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความได้ ข้อที่โจทก์ทั้งสองอ้างตามฎีกาว่า ได้ปฏิบัติการชำระหนี้เงิน ๒๔๕,๐๐๐ บาท แก่จำเลยแล้วนั้น เป็นการอ้างว่าได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีผลต่อการบังคับคดีที่จะต้องไปว่ากล่าวกันในคดีเดิม โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้
พิพากษายืน.