แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คดีมโนสาเร่คู่ความต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ตามจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 190 จัตวา วรรคสอง ส่วนสิทธิในการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงของคู่ความต้องเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 224
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จซึ่งโจทก์คำนวณดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 43,800 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 93,800 บาท จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์จึงเป็นเงิน 93,800 บาท เกินกว่าห้าหมื่นบาทไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ กำหนดค่าทนายความให้ 1,200 บาท
จำเลยยื่นอุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แต่ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในอุทธรณ์ว่า คดีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นไม่รับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย ให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ให้จำเลย
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีเป็นการอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ จึงให้ผู้อุทธรณ์นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดสิบห้าวัน มิฉะนั้นจะไม่รับอุทธรณ์คำสั่ง จำเลยไม่ได้นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและไม่ได้นำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 เพื่อพิจารณา
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีมโนสาเร่ ในการฟ้องคดีโจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นต้น 200 บาท เท่ากับจำนวนค่าขึ้นศาลที่เรียกเก็บในคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 190 จัตวา วรรคหนึ่ง ส่วนในชั้นอุทธรณ์คู่ความต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ตามจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ ตามมาตรา 190 จัตวา วรรคสอง และสิทธิในการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงของคู่ความย่อมเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 224 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่าในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงได้ความว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จซึ่งโจทก์คำนวณดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 43,800 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น 93,800 บาท จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์จึงเป็นเงิน 93,800 บาท เกินกว่าห้าหมื่นบาท คดีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเป็นการไม่ชอบ ถือว่าเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ชอบที่จะแก้ไขโดยสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการเสียให้ถูกต้อง แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 มิได้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นปฏิบัติเสียให้ถูกต้อง และคดีนี้ได้ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยอีกต่อไป”
พิพากษายกฎีกาของจำเลย ยกคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 และคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย ให้ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้ครบถ้วนแล้วมีคำสั่งเกี่ยวกับอุทธรณ์ของจำเลยเสียใหม่ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ