แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หุ้นส่วนไม่จดทะเบียนผู้ถือหุ้นคนหนึ่งทำสัญญาในนามตนเองแลแทนห้างหุ้นส่วน ประมวลแพ่ง ม.538,115 สัญญาเช่า 10 ปีทำหนังสือกันเอง ศาลบังคับให้ไปจดทะเบียนได้ ผู้ให้เช่ารู้การกระทำผิดไม่ว่ากล่าว ถือว่าให้สัตยาบัน
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์และนายเย้าคงกับพวกเข้าหุ้นส่วนกันโดยไม่ได้จดทะเบียน และใช้นามสมญาว่า “ยี่ห้อเค่งน่ำเหลา” และนายเย้าคงในฐานะผู้แทนและผู้จัดการยี่ห้อเค่งน่ำเหลาได้ทำสัญญากันเองกับบิดาจำเลยเช่าที่ดินมีกำหนด ๑๐ ปี มีใจความว่าผู้เช่าต้องทำตึกคอนกรีต ๓ ชั้น เมื่อทำเสร็จแล้วต้องไปทำสัญญาที่หอทะเบียน ภายหลังว่ารากตึกเดิมไม่แข็งแรงพอจะทำคอนกรีตทั้งหมดไม่ได้ ต้องเปลี่ยนเปนตัวไม้บ้าง บิดาจำเลยก็ได้รู้เห็นยินยอม และลดเก็บค่าเช่าจากโจทก์ต่อมาพวกหุ้นส่วนเช่นนายเย้าคงคู่สัญญาได้ออกจากหุ้นส่วน คงเหลือแต่โจทก์กับนายกิมพงษ์ดังนี้ โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียน ฝ่ายจำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์ทำผิดสัญญาไม่ทำตึกคอนกรีต กับตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่ใช่คู่สัญญา ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลแพ่งตัดสินว่า ตามประมวลแพ่ง ม.๑๐๔๙ โจทก์จะถือเอาสิทธิใด ๆ ซึ่งไม่ปรากฎชื่อโจทก์ไม่ได้ ฝ่ายจำเลยรู้ว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญา แต่ได้ยินยอมไม่ว่ากล่าว จึงให้ยกฟ้องทั้ง ๒ ฝ่าย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เรื่องโจทก์ผิดสัญญานั้นฝ่ายจำเลยได้ยอมรับและคิดค่าเช่าต่อไปตั้งแต่วันโจทก์ทำผิดสัญญาแล้ว และ “เค่งน่ำเหลา” เปนหุ้นส่วนไม่จดทะเบียน จึงเปนแต่ชื่อของบุคคลที่เปนเจ้าของห้าง และบุคคลมีสิทธิใช้นาม ๒ นาม เช่นนี้ได้ โดยเหตุนี้เค่งน่ำเหลาเปนชื่อของโจทก์และเปนคู่สัญญากับจำเลย จึงบังคับให้ไปจดทะเบียน และยกฟ้องแย้งของจำเลยเสีย
ศาลฎีกาเห็นว่า “เค่งน่ำเหลา” ยังไม่เลิกและจำเลยรับว่าโจทก์เปนหุ้นส่วนซึ่งในเวลานี้ยังไม่เลิก และในสัญญาก็ปรากฎว่านายเย้าคงผู้แทนและผู้จัดการยี่ห้อเค่งน่ำเหลาดังนี้ ก็ถือว่าโจทก์เปนคู่สัญญากับจำเลยด้วย สัญญาเช่าจึงยังไม่เลิกกัน โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนได้ เพราะในสัญญามีเจตนาต่อกันจะไปทำสัญญาต่อหอทะเบียน จึงตัดสินยืนตามศาลอุทธรณ์