คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6518/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ส. ตัวแทนขายประกันของจำเลย สาขานครราชสีมา ติดต่อ อ. ให้ทำสัญญาประกัน และ อ. ตกลงทำสัญญาตามแบบฟอร์มตรวจร่างกายและสัญญาประกันภัยของจำเลย จึงเป็นการเริ่มต้นทำสัญญาประกันภัยที่จังหวัดนครราชสีมาถือว่ามูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดนครราชสีมา โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีที่ศาลจังหวัดนครราชสีมาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1)
นายแพทย์ พ. ผู้ตรวจสุขภาพและร่างกายของ อ. ก่อนทำสัญญาประกันภัยมีความเห็นว่า อ. ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนนายแพทย์ น. ตรวจร่างกาย อ. หลังจากทำสัญญาประกันภัยแล้วยืนยันว่า อ. เป็นเพียงโรคประสาทเครียดสามารถรักษาให้หายขาดได้ และ ส. ตัวแทนขายประกันของจำเลยซึ่งเป็นผู้ติดต่อ อ. ทำสัญญาประกันภัยยืนยันว่า อ. สามารถพูดคุยได้รู้เรื่องแบบคนปกติธรรมทั่วไปและได้มีการสั่งงานให้ลูกน้องปฏิบัติงานได้อย่างปกติ กรณีจึงไม่อาจฟังได้ว่า อ. รู้แล้วว่าตนเจ็บป่วยเป็นโรคประสาทเครียดซึ่งเป็นโรคร้ายแรงและไม่ได้ประกอบอาชีพแล้ว ละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจทำให้จำเลยบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาประกันภัย สัญญาประกันภัยจึงไม่ตกเป็นโมฆียะ
โจทก์เป็นบุตร ง. จึงเป็นทายาทลำดับที่ 1 และมีสิทธิรับมรดกของ ง. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 ขณะที่ อ. ตาย ง. ยังมีชีวิตอยู่ง. จึงมีสิทธิได้รับเงินตามกรมธรรม์ประกันภัยครึ่งหนึ่ง และเมื่อ ง. ตาย สิทธิในการเรียกเงินตามกรมธรรม์ประกันภัยจึงตกแก่โจทก์ซึ่งเป็นทายาทโดยไม่ต้องนำสืบให้เห็นว่าเป็นทายาทของ ง. ลำดับไหน มีทายาทด้วยกันกี่คน โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัยในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของ ง. ผู้รับประโยชน์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,020,300 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 925,801.50 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 510,150 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 462,900.75 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 925,801.50 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์2539 ถึงวันฟ้องให้โจทก์ แต่เมื่อคิดรวมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องแล้วต้องไม่เกิน 1,020,300บาท และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 925,801.50 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องที่ศาลจังหวัดนครราชสีมาหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านางสุวรรณา เกียรติอำนวย ตัวแทนขายประกันของจำเลยสาขานครราชสีมาได้ติดต่อนายองอาจทำสัญญาประกันภัยและนายองอาจตกลงทำสัญญาตามแบบฟอร์มตรวจร่างกายและสัญญาประกันภัย จึงเป็นการเริ่มต้นทำสัญญาประกันภัยที่จังหวัดนครราชสีมา ถือว่ามูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดนครราชสีมา โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ที่ศาลจังหวัดนครราชสีมาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปมีว่า กรมธรรม์ประกันภัยตกเป็นโมฆียะหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า การที่นายองอาจรู้แล้วว่าตนเองเจ็บป่วยเป็นโรคประสาทเครียดซึ่งเป็นโรคร้ายแรงมา 20 ปี และไม่ได้ประกอบอาชีพอะไร หากนายองอาจแถลงให้จำเลยทราบในคำขอประกันภัยแล้วจำเลยจะบอกปัดไม่ยอมทำสัญญากับนายองอาจนั้น เห็นว่า นายแพทย์ปรีชาผู้ตรวจสุขภาพและร่างกายของนายองอาจก่อนทำสัญญาประกันภัยมีความเห็นว่า นายองอาจไม่มีปัญหาอะไร ส่วนนายแพทย์นรชาติตรวจร่างกายนายองอาจหลังจากทำสัญญาประกันภัยแล้วก็ยืนยันว่า นายองอาจเป็นโรคเพียงโรคประสาทเครียดสามารถรักษาให้หายขาดได้ นอกจากนี้นางสุวรรณาตัวแทนขายประกันของจำเลยซึ่งเป็นผู้ติดต่อนายองอาจทำสัญญาประกันภัยก็ยืนยันว่า นายองอาจสามารถพูดคุยได้รู้เรื่องแบบคนปกติธรรมดาทั่วไปและได้มีการสั่งงานให้แก่ลูกน้องปฏิบัติงานได้อย่างปกติ และจำเลยยังได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายองอาจเนื่องจากได้รับอุบัติเหตุเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2538 ด้วย ส่วนเรื่องการประกอบอาชีพของนายองอาจผู้เอาประกันภัยนั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากนางสุวรรณาพยานจำเลยซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยว่า นายองอาจมีธุรกิจร่วมกับญาติพี่น้องทำกิจการอาบอบนวด ค้ารถเก่าและมีหุ้นที่โรงไม้ปักธงชัยด้วย อาศัยข้อเท็จจริงและเหตุผลตามที่กล่าวมาพยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่านายองอาจรู้แล้วว่าตนเองเจ็บป่วยเป็นโรคประสาทเครียดซึ่งเป็นโรคร้ายแรงมา 20 ปี และไม่ได้ประกอบอาชีพแล้วละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจทำให้จำเลยบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาประกันภัยดังที่จำเลยฎีกาดังนี้สัญญาประกันจึงไม่ตกเป็นโมฆียะ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายมีว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัยในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนางเงินได้หรือไม่โดยจำเลยฎีกาว่า ตามกรมธรรม์ระบุชื่อนางเงินเป็นผู้รับประโยชน์ครึ่งหนึ่ง เมื่อนางเงินถึงแก่ความตายส่วนของนางเงินจึงตกแก่ทายาทซึ่งโจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่าเป็นทายาทของนางเงินลำดับไหน มีทายาทด้วยกันกี่คน ทายาทแต่ละคนมีสิทธิรับมรดกก่อนและหลังอย่างไร เพียงแต่ปรากฏในคำฟ้องเท่านั้นว่าโจทก์เป็นบุตรของนางเงิน เมื่อโจทก์ไม่มีเอกสารมาแสดงให้เห็นถึงความเป็นทายาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิรับมรดกส่วนของนางเงินตามกรมธรรม์ประกันภัยได้นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องโดยบรรยายว่า โจทก์ในฐานะส่วนตัวและในฐานะทายาทโดยธรรมของนางเงิน แซ่นิ้ม โจทก์เป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนายองอาจ นางเงินเป็นมารดาของนายองอาจ โจทก์จึงเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนางเงิน ส่วนจำเลยให้การเพียงว่าโจทก์ไม่ใช่ทายาท โดยไม่ได้ปฏิเสธว่าโจทก์มิใช่บุตรของนางเงินแต่อย่างใด และศาลชั้นต้นก็ไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำฟ้องของโจทก์ว่า โจทก์เป็นบุตรของนางเงินโจทก์จึงเป็นทายาทชั้นบุตรซึ่งเป็นทายาทลำดับที่ 1 และมีสิทธิรับมรดกของนางเงินได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 ขณะที่นายองอาจถึงแก่ความตายนางเงินยังมีชีวิตอยู่นางเงินจึงมีสิทธิได้รับเงินตามกรมธรรม์ประกันภัยพิพาทครึ่งหนึ่ง และเมื่อนางเงินถึงแก่ความตายสิทธิในการรับเงินตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวจึงตกแก่โจทก์ซึ่งเป็นทายาทโจทก์ไม่จำต้องนำสืบให้เห็นว่าเป็นทายาทของนางเงินลำดับไหน มีทายาทด้วยกันกี่คนข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัยในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนางเงินผู้รับประโยชน์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น…”

พิพากษายืน

Share