แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา383วรรคแรกกำหนดไว้ว่าถ้าเบี้ยปรับที่ริบนั้นสูงเกินส่วนศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ซึ่งในการที่จะวินิจฉัยว่าสมควรเพียงใดนั้นจำต้องพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายไม่ใช่แต่เพียงทางเสียในเชิงทรัพย์สินเมื่อได้ใช้เงินตามเบี้ยปรับแล้วสิทธิเรียกร้องขอลดก็เป็นอันขาดไปการที่โจทก์ใช้สิทธิต้องการเรียกเอาเบี้ยปรับตามสัญญาเป็นรายวันอีกนั้นแม้เป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยที่1ทำสัญญาตกลงกันก็เป็นเรื่องเงินค่าปรับที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเมื่อราคาทรัพย์สินที่ตกลงซื้อขายเป็นเงิน538,000บาทโจทก์ได้รับเงินมัดจำร้อยละ10ของราคาสิ่งของทั้งหมดไปแล้วโจทก์มาฟ้องจำเลยที่1ที่ไม่ส่งมอบของให้โจทก์ตามสัญญาโดยคำนวณเบี้ยปรับรายวันอัตราร้อยละ0.20ของราคาสิ่งของที่จำเลยที่1ไม่ได้ส่งมอบนับจากวันครบกำหนดส่งมอบสิ่งของจนถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญาแต่โจทก์ไม่อาจพิสูจน์ค่าเสียหายเพื่อการไม่ชำระหนี้อันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่1ได้อีกและโจทก์ได้รับเงินประกันคิดเป็นเงินร้อยละ10ของราคาสิ่งของทั้งหมดซึ่งถือว่าเป็นค่าเสียหายพอสมควรไปแล้วจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องชำระค่าเสียหายเป็นค่าปรับอีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน218,160 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 193,280 บาท นับถัดวันฟ้องจนกว่าได้ชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ริบเงินตามหนังสือค้ำประกันเป็นเงิน53,800 บาท ไปแล้ว โจทก์มิได้บรรยายในคำฟ้องว่าได้รับความเสียหายอย่างไร เมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ ถือได้ว่าโจทก์เรียกเงินเบี้ยปรับจากการที่จำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบสิ่งของให้โจทก์ภายในกำหนดและเป็นการชำระค่าเสียหายให้โจทก์เป็นจำนวนที่พอสมควรแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินเบี้ยปรับเป็นรายวันจากจำเลยที่ 1 อีกแต่ถ้ามีสิทธิก็คงเรียกได้จนถึงวันที่โจทก์ริบเงินตามหนังสือค้ำประกัน ซึ่งถือว่าเป็นวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญาซื้อขายเท่านั้นและเงินเบี้ยปรับที่โจทก์เรียกสูงเกินส่วน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลย ที่ 2 ขาดนัด ยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ชอบที่จะลดเบี้ยปรับลงเป็นจำนวนพอสมควรตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคแรก มิใช่ใช้ดุลพินิจไม่กำหนดเบี้ยปรับให้โจทก์ที่ควรได้รับจากจำเลยทั้งสองตามสัญญาอันเป็นการไม่ชอบด้วยมาตรา 383 วรรคแรก โจทก์เป็นหน่วยราชการมิได้มุ่งค้ากำไรทางเบี้ยปรับ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเบี้ยปรับให้โจทก์ตามฟ้องนั้นศาลฎีกาเห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคแรก ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าเบี้ยปรับที่ริบนั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ในการที่จะวินิจฉัยว่าสมควรเพียงใดนั้นท่านให้พิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายไม่ใช่แต่เพียงทางได้เสียในเชิงทรัพย์สินเมื่อได้ใช้เงินตามเบี้ยปรับแล้ว สิทธิเรียกร้องขอลดก็เป็นอันขาดไป การที่โจทก์ใช้สิทธิต้องการเรียกเอาเบี้ยปรับตามสัญญาเป็นรายวันอีกนั้น แม้เป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาตกลงกันก็เป็นเรื่องเงินค่าปรับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เมื่อราคาทรัพย์สินที่ตกลงซื้อขายกันเป็นจำนวนเงิน 538,000 บาท โจทก์ได้ริบเงินมัดจำคิดเป็นจำนวนร้อยละ10 ของราคาสิ่งของทั้งหมดไปแล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขอใช้สิทธิเรียกร้องที่จำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบของให้โจทก์ตามสัญญาโดยคำนวณเบี้ยปรับรายวันอัตราร้อยละ 0.20 ของราคาสิ่งของที่จำเลยที่ 1ไม่ได้ส่งมอบนับจากวันครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญาจนถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญา แต่ตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ได้ความแน่ชัดว่าโจทก์ได้รับความเสียหายใด ๆ อีก เมื่อโจทก์ไม่อาจพิสูจน์ค่าเสียหายเพื่อการไม่ชำระหนี้อันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ได้อีกและโจทก์ได้ริบเงินประกันคิดเป็นเงินร้อยละ 10 ของราคาสิ่งของทั้งหมดซึ่งถือว่าเป็นค่าเสียหายพอสมควรไปแล้วจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องชำระค่าเสียหายเป็นค่าปรับตามที่โจทก์ฎีกาอีกศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน