คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4575/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จะพิจารณาว่าฝ่ายใดผิดนัดนั้นจะต้องพิจารณาการกระทำประกอบกับเจตนาที่ฝ่ายนั้นได้แสดงออกมาว่าจะไม่นำพาต่อการปฏิบัติตามนัดตามสัญญาหรือไม่เป็นสำคัญ เมื่อตามคำร้องของโจทก์อ้างว่าได้มอบหมายให้ทนายความไปที่สำนักงานที่ดินเมื่อเวลา 10.45 นาฬิกา และได้แจ้งให้ทนายความจำเลยร่วมทราบโดยขอให้เจ้าพนักงานเตรียมหลักฐานการโอนไว้ แต่จำเลยร่วมไม่ดำเนินการให้ กรณีก็ไม่อาจจะถือได้ว่าโจทก์ผิดนัด เพราะเวลา 11 นาฬิกา ที่กำหนดนัดหมายในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นต้องหมายถึงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายไปพร้อมกันเพื่อเริ่มดำเนินการตามแบบพิธีของทางราชการ มิใช่หมายถึงเวลาที่ทำการโอนเสร็จเรียบร้อย จะต้องมีการไต่สวนคู่ความทั้งสองฝ่ายว่าความจริงเป็นประการใดจึงจะวินิจฉัยได้ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดนัด

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม โดยสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยและจำเลยร่วมมีใจความว่า จำเลยทั้งสองตกลงยินยอมโดยจำเลยร่วมตกลงโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ และโจทก์ตกลงชำระเงินให้แก่จำเลยร่วมจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาทและค่าเสียหายอีก ๑๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงจะไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวในวันที่ ๒๐ ตุลาคม ศกนี้ เวลา ๑๑ นาฬิกา ณ สำนักงานที่ดินอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ หากโจทก์ไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ดังกล่าวพร้อมกับชำระค่าที่ดินทั้งหมดให้แก่จำเลยร่วมตามข้อ ๒ แล้ว ให้ถือว่าโจทก์ผิดนัด โจทก์ไม่ติดใจที่จะฟ้องร้องใด ๆ เกี่ยวกับจำเลยทั้งสองและที่ดินแปลงนี้อีกต่อไป หากจำเลยไม่ไปทำการโอนกรรมสิทธิ์ตามกำหนดแล้ว ยินยอมให้โจทก์ถือเอาคำพิพากษานี้เป็นการแสดงเจตนาโอนแทนได้ทันที
ต่อมาวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๓๒ เวลา ๑๕.๒๕ นาฬิกา จำเลยร่วมยื่นคำร้องว่าเมื่อเวลา ๑๐.๓๐ นาฬิกา จำเลยร่วมได้ปฏิบัติตามสัญญาโดยไปที่สำนักงานที่ดินอำเภอแม่ริม เพื่อจะทำการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้โจทก์ จนถึงเวลา ๑๑.๑๕ นาฬิกา โจทก์ไม่มาตามนัด และจำเลยร่วมรออยู่จนถึงเวลา ๑๒ นาฬิกา ขอให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานที่ดินงดเว้นการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์
ในวันเดียวกันนั้นเวลา ๑๖.๒๐ นาฬิกา โจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ได้มอบหมายให้ทนายความไปที่สำนักงานที่ดินอำเภอแม่ริม ถึงเมื่อเวลา ๑๐.๔๕ นาฬิกา และแจ้งให้ทนายความจำเลยร่วมทราบว่าโจทก์กำลังให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ ในการทำนิติกรรมให้ โจทก์เดินทางไปถึงสำนักงานที่ดินเมื่อเวลา ๑๒.๑๐ นาฬิกา พร้อมทั้งเช็คและเงินสดจำนวน ๓,๖๙๖,๐๐๐ บาท เพื่อชำระให้จำเลยร่วมและขอให้ดำเนินการโอนสิทธิในที่ดินให้โจทก์แต่จำเลยร่วมไม่ดำเนินการให้ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอแม่ริมโอนสิทธิในที่ดินให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ศาลชั้นต้นนัดสอบถาม ในวันนัดสอบถามโจทก์แถลงยืนยันตามคำร้องของโจทก์ทนายจำเลยแถลงคัดค้านคำร้องของโจทก์อ้างว่าโจทก์ผิดนัด ศาลชั้นต้นพิจารณาเฉพาะคำร้องแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์ผิดนัด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้สัญญาประนีประนอมยอมความในข้อ ๒ จะกำหนดให้ทั้งสองฝ่ายไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทในวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๓๒ เวลา๑๑ นาฬิกาก็ตาม การที่จะพิจารณาว่าฝ่ายใดผิดนัดนั้นจะต้องพิจารณาการกระทำประกอบกับเจตนาที่ฝ่ายนั้นได้แสดงออกมาว่าจะไม่นำพาต่อการปฏิบัติตามนัดตามสัญญาหรือไม่เป็นสำคัญ ตามคำร้องของโจทก์อ้างว่าได้มอบหมายให้ทนายความไปที่สำนักงานที่ดินอำเภอแม่ริมเมื่อเวลา ๑๐.๔๕ นาฬิกาและได้แจ้งให้ทนายความจำเลยร่วมทราบโดยขอให้เจ้าพนักงานที่ดินเตรียมหลักฐานการโอนไว้และโจทก์ได้ไปถึงสำนักงานที่ดินพร้อมทั้งเช็คและเงินสดที่จะชำระให้จำเลยร่วมเมื่อเวลา๑๒.๑๐ นาฬิกา แต่จำเลยร่วมไม่ดำเนินการให้ ซึ่งถ้าข้อเท็จจริงเป็นอย่างที่โจทก์อ้างในคำร้องแล้วกรณีก็ไม่อาจจะถือได้ว่าโจทก์ผิดนัด เพราะเวลา ๑๑ นาฬิกา ที่กำหนดนัดหมายในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นต้องหมายถึงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายไปพร้อมกันเพื่อเริ่มดำเนินการตามแบบพิธีของทางราชการมิใช่หมายถึงเวลาที่ทำการโอนเสร็จเรียบร้อย การที่ทนายความโจทก์ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวแทนโจทก์ไปถึงตามเวลานัดหมายและแจ้งให้ทนายความจำเลยร่วมทราบถึงเรื่องที่จะดำเนินการต่อไปเช่นนี้ถือได้ว่าฝ่ายโจทก์ได้ไปตามเวลานัดหมายแล้ว แต่ข้อเท็จจริงตามคำร้องของโจทก์นั้น จำเลยร่วมคงคัดค้านอยู่ จะต้องมีการไต่สวนคู่ความทั้งสองฝ่ายว่าความจริงเป็นประการใด จึงจะวินิจฉัยได้ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดนัด แต่ศาลชั้นต้นยังมิได้ไต่สวนในข้อนี้
พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนข้อเท็จจริงตามคำร้องของโจทก์และจำเลยร่วม แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี.

Share