คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 767/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อข้อเท็จจริงแห่งคดีฟังได้ว่า ส. ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันที่เกิดเหตุของจำเลยที่ 1ในทางการที่จ้างโดยประมาทชนรถยนต์บรรทุกที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหายแล้ว แม้โจทก์จะฟ้องว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำละเมิดในทางการที่จ้าง จำเลยที่ 1 ย่อมต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดของลูกจ้างตนตามฟ้อง กรณีหาเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นไม่
โจทก์ขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดี เพื่อใช้ค่าทดแทนในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุน อันเป็นการฟ้องตามสัญญาประกันภัย จำเลยร่วมจึงยกอายุความละเมิดมาใช้ไม่ได้ดังนั้นเมื่อปรากฏว่าขณะที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความยังไม่พ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันวินาศภัย คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลแพ่งอันเป็นศาลที่โจทก์ยื่นฟ้องไว้ เพราะเพิ่งทราบจากคำให้การของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 3มิได้เป็นผู้รับประกันภัยรายนี้และขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยที่แท้จริงการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่ตัดอำนาจศาลแพ่งในอันที่จะพิจารณาและชี้ขาดและมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลแพ่งเช่นเดียวกันเข้ามาในคดีตัดสินคดีต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา173(2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2519 จำเลยที่ 2 ลูกจ้างของจำเลยที่ 1ได้ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน นม.18891 ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 โดยประมาทล้ำเส้นทางเข้ามาชนรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน อบ.08908 ซึ่งนายวิลัยขับสวนทางมา เป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน อบ.08908 พลิกคว่ำได้รับความเสียหายโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน อบ.08908 ไว้ต้องชดใช้ค่าลากจูง และค่าซ่อมแซมไปรวม 77,715 บาท จึงฟ้องให้จำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างของผู้ทำละเมิด จำเลยที่ 2 ผู้ทำละเมิดและจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน นม.18891 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1ไม่เคยเอาประกันภัยรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน นม.18891 ไว้กับจำเลยที่ 3หากแต่ได้เอาประกันภัยไว้กับบริษัทนำสินประกันภัย จำกัด โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3โดยไม่มีมูลโดยประสงค์จะใช้ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 3 เพื่อฟ้องคดีนี้ที่ศาลแพ่งจำเลยที่ 1 ขอตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ที่ศาลแพ่ง เหตุที่เกิดชนกันเกิดจากความประมาทของนายวิลัยคนขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน อบ.08908 ฝ่ายเดียวโจทก์ไม่อยู่ในฐานะที่ต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย ขอให้ยกฟ้อง

โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 และขอให้ศาลหมายเรียกบริษัทนำสินประกันภัยจำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลอนุญาต

จำเลยร่วมให้การว่า ได้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน นม.18891 จากจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ไม่ใช่นายจ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดในการละเมิดของจำเลยที่ 2 จำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิดด้วย อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดจากความประมาทของนายวิลัยคนขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน อบ.08908 ฝ่ายเดียวหาใช่เกิดเพราะนายสมชายคนขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน นม.18891 ของจำเลยที่ 1ไม่ คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ

จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์จะยกเอาการกระทำของนายสมชายมาวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1 รับผิดในการละเมิดของนายสมชายหาได้ไม่ เป็นการนอกประเด็นแห่งคดีนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน นม.18891 ในทางการที่จ้างชนรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน อบ.08908 เสียหาย หากข้อเท็จจริงแห่งคดีฟังได้ว่า นายสมชายซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 โดยประมาท ชนรถที่โจทก์รับประกันไว้เสียหายจริง จำเลยที่ 1ย่อมต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดของลูกจ้างของตนตามคำฟ้อง แม้จะฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 แต่ก็ฟังได้ว่านายสมชายผู้ทำละเมิดนั้นเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 อยู่นั่นเองการที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดของลูกจ้างของตนนั้นเป็นข้อหาที่โจทก์กล่าวไว้ในฟ้องแล้ว จึงหาเป็นการนอกประเด็นไม่

ที่จำเลยร่วมฎีกาว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องนั้น ปรากฏว่ามูลละเมิดครั้งนี้เกิดเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2519 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2521 เพื่อให้จำเลยร่วมใช้ค่าทดแทนในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 ดังนั้นเกี่ยวกับจำเลยร่วมจะยกอายุความละเมิดมาใช้ไม่ได้เพราะเป็นการฟ้องตามสัญญาประกันภัย จึงต้องใช้อายุความในเรื่องประกันภัย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 ซึ่งปรากฏว่าขณะโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความยังไม่พ้นกำหนดสองปีนับแต่วันวินาศภัย คดีของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ

ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ยังศาลแพ่งนั้น ปรากฏว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยร่วมหลายคนด้วยกัน และขณะยื่นฟ้องมีจำเลยร่วมคนหนึ่งคือจำเลยที่ 3 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลแพ่ง โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องคดีนี้ยังศาลแพ่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 5 วรรคสอง แม้ต่อมาจะมีเหตุเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นโดยโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 เพราะเพิ่งทราบจากคำให้การของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 3 มิใช่ผู้รับประกันภัยรายนี้ แต่เป็นบริษัทนำสินประกันภัยจำกัด ที่รับประกันภัยไว้ โจทก์จึงได้ถอนฟ้องจำเลยที่ 3 และขอให้ศาลหมายเรียกบริษัทนำสินประกันภัย จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม การเปลี่ยนแปลงเช่นว่านี้ หาตัดอำนาจศาลแพ่งที่รับฟ้องคดีนี้ไว้ในอันที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีนี้ไม่ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(2) โดยเฉพาะจำเลยร่วมเองก็มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลแพ่งที่จะรับฟ้องไว้พิจารณาได้อยู่แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share