คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3709/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยทั้งสองนำเรือมาดัดแปลงใช้เหล็กปิดปากระวางเพื่อให้ รถยนต์บรรทุกแล่นลงไปขนส่งสินค้า กับได้ใช้ลวดผูกโยงตรึงให้อยู่กับที่และใช้เรือลำเลียงเดินทะเลมีขนาด 1,075.40 ตันกรอส เทียบขนถ่ายสินค้าเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการใช้สิ่งลอยน้ำเป็นสถานที่สำหรับให้บริการแก่เรือเดินทะเลที่มีขนาดตั้งแต่ 500 ตันกรอสขึ้นไป อันเป็นการประกอบกิจการท่าเรือแล้ว หาได้ใช้ในสภาพที่เป็นเรือลำเลียงไม่การกระทำของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการประกอบกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภคอันกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัยหรือผาสุกของประชาชน ซึ่งต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58
จำเลยทั้งสองฎีกาว่าทำการขนถ่ายสินค้า 2 ครั้งด้วยความจำเป็น ไม่มีเจตนาใช้เป็นท่าเรือ กับฎีกาว่าเรือสมิหลา 2 ไม่ใช่เรือเดินทะเลเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 มาตรา 47 นั้นปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา 47 และศาลล่างทั้งสองมิได้หยิบยกบทกฎหมายดังกล่าวมาลงโทษจำเลยทั้งสองแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การประกอบกิจการท่าเรือ แม้ผู้ประกอบกิจการจะไม่ได้มุ่งหาประโยชน์จากกิจการดังกล่าว ก็ต้องได้รับอนุญาตเพราะกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัย หรือผาสุกของประชาชน
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการกระทำกิจการต่าง ๆ แทนลำพังจำเลยที่ 1 ไม่อาจกระทำกิจการด้วยตนเองได้ การกระทำความผิดเกิดขึ้นเนื่องมาจากจำเลยที่ 2 โดยตรง ย่อมถือว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันประกอบกิจการท่าเรือเดินทะเลอันมีท่าให้บริการในการจอด เทียบ บรรทุก หรือขนถ่ายสินค้า แก่เรือเดินทะเลที่มีขนาดตั้งแต่ ๕๐๐ ตันกรอสขึ้นไป อันเป็นกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภคโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือสัมปทานจากรัฐมนตรี โดยจำเลยทั้งสองก่อสร้างท่าเรือล่วงล้ำลำน้ำในทะเลสาบสงขลา โดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี ขอให้ลงโทษตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๕๘ ลงวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๑๕ ข้อ ๓(๙), ๔ ,๑๖ พระราชกฤษฎีกากำหนดให้กิจการท่าเรือเดินทะเลเป็นกิจการค้าขาย อันเป็นสาธารณูปโภค อันกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัย หรือผาสุกของประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓ พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พุทธศักราช ๒๔๕๖ มาตรา ๑๑๗, ๑๑๘ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๐ ลงวันที่ ๑๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๕ ข้อ ๕
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ ลงวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๑๕ ข้อ ๓(๙), ๔, ๑๖ พระราชกฤษฎีกากำหนดให้กิจการท่าเรือเดินทะเลเป็นกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภคอันกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัยหรือผาสุกของประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓ ให้ลงโทษตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๕๘ ฯ ข้อ ๑๖ ให้ปรับจำเลยทั้งสองรายละ ๔,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เหล็กปิดปากระวางเรือลำเลียงเดินทะเลเฉพาะเขตชื่อหาดแก้ว ๒ มีขนาด ๑๕๖.๓๔ ตันกรอส เพื่อให้รถยนต์บรรทุกสิบล้อลงไปจอดเพื่อบรรทุกสินค้าได้ ๒ คัน แล้วนำไปจอดในทะเลสาบใกล้ฝั่งหน้ากองบัญชาการตำรวจภูธร ๔ จังหวัดสงขลา มีสะพานทอดขึ้นไปบนตลิ่งโดยใช้ลวดผูกโยงไว้กับหลักบนฝั่งเพื่อให้อยู่กับที่ แล้วนำเรือสมิหลา ๒ ซึ่งเป็นเรือลำเลียงเดินทะเลเฉพาะเขตมีขนาด ๑,๐๗๕.๔๐ ตันกรอส มาจอดเทียบเรือหาดแก้ว ๒ ทำการขนถ่ายสินค้าเพื่อให้บริการแก่เรือสมิหลา ๒ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมให้ประกอบกิจการท่าเรือ ในการยึดเรือให้อยู่กับที่นี้ เดิมจำเลยทั้งสองใช้ต้นตาล ต้นมะพร้าว ปักลงในทะเลสาบสงขลา เพื่อยึดเรือหาดแก้ว ๒ ไว้ทั้งสี่ด้าน จนถูกสำนักงานเจ้าท่าเขต ๔กล่าวหาและดำเนินคดีในข้อหาสร้างสิ่งล้ำลำน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๐ ข้อ ๕ ถูกเจ้าพนักงานเปรียบเทียบปรับ ๑,๐๐๐ บาท และให้รื้อถอนสิ่งที่ล่วงล้ำลำน้ำภายใน ๑๕ วันจำเลยทั้งสองได้รื้อถอนเสาที่ปักล่วงล้ำลำน้ำออกแล้ว แต่ใช้ลวดยึดเรือหาดแก้ว ๒ ไว้ทั้ง ๔ ด้านแทน แล้วทำการขนถ่ายสินค้าต่อมาจนถูกดำเนินคดีนี้
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสอง ข้อแรกคือ การใช้เรือหาดแก้ว ๒ ผูกโยงไว้ริมฝั่งให้อยู่ที่ แล้วนำเรือสมิหลา ๒ ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ ๕๐๐ ตันกรอสขึ้นไปมาจอดเทียบเพื่อทำการขนถ่ายสินค้าขึ้นลงโดยใช้รถยนต์บรรทุกแล่นข้ามสะพานเชื่อมจากตลิ่งลงสู่เรือหาดแก้ว ๒ ถือเป็นการประกอบกิจการท่าเรือเดินทะเลซึ่งจะต้องได้รับอนุญาตหรือได้รับสัมปทานจากรัฐมนตรีหรือไม่ เห็นว่าพระราชกฤษฎีกากำหนดให้กิจการท่าเรือเดินทะเลเป็นกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภคอันกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัยหรือผาสุกของประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓ บัญญัติว่า “ให้กิจการท่าเรือเดืนทะเลที่มีท่าให้บริการในการจอดเทียบ บรรทุก หรือขนถ่ายสินค้าแก่เรือเดินทะเลที่มีขนาดตั้งแต่ห้าร้อยตันกรอสขึ้นไป ไม่ว่าจะมีการเรียกค่าตอบแทนในการให้บริการหรือไม่ เป็นกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภค อันกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัย หรือผาสุกของประชาชน ” ซึ่งจำต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ ลงวันที่ ๒๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๕ และตามปประกาศกระทรวงคมนาคม ฉบับลงวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๒๔ เรื่องกำหนดเงื่อนไขในการอนุญาตให้ประกอบกิจการท่าเรือ ซึ่งเป็นกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภคอันกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัยหรือผาสุกของประชาชนตามข้อ ๓(๙) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ ให้คำจำกัดความคำว่า “ท่าเรือ” ไว้คือ”ท่าเรือหมายความว่าสถานที่สำหรับให้บริการแก่เรือเดินทะเลที่มีขนาดตั้งแต่ห้าร้อยตันกรอสขึ้นไป ในการจอด เทียบ บรรทุก หรือขนถ่ายของและให้หมายความรวมถึงสิ่งลอยน้ำอื่นใด ไม่ว่าจะมีเครื่องจักรสำหรับขับเคลื่อนหรือไม่ก็ตาม ซึ่งใช้เพื่อวัตถุประสงค์อย่างเดียวกันแต่มิได้ใช้เพื่อการขนส่ง”
การที่จำเลยทั้งสองนำเรือหาดแก้ว ๒ มาดัดแปลง ใช้เหล็กปิดปากระวางเพื่อให้รถยนต์บรรทุกแล่นลงไปขนส่งสินค้า กับได้ใช้ลวดผูกโยงตรึงให้อยู่กับที่ และใช้เรือสมิหลา ๒ ซึ่งเป็นเรือลำเลียงเดินทะเลมีขนาด ๑,๐๗๕.๔๐ ตันกรอส เทียบขนถ่ายสินค้าเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการใช้สิ่งลอยน้ำเป็นสถานที่สำหรับให้บริการแก่เรือเดินทะเลที่มีขนาดตั้งแต่ห้าร้อยตันกรอสขึ้นไปอันเป็นการประกอบกิจการท่าเรือแล้ว ลักษณะแห่งการใช้เรือหาดแก้ว ๒ หาได้ใช้ในสภาพที่เป็นเรือลำเลียงดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาไม่ และการกระทำของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการประกอบกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภคอันกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัยหรือผาสุกของประชาชน ซึ่งจำต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ ลงวันที่ ๒๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๕
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าทำการขนถ่ายสินค้า ๒ ครั้ง ด้วยความจำเป็น ไม่มีเจตนาให้เป็นท่าเรือ กับที่ฎีกาว่าเรือสมิหลา ๒ ไม่ใช่เรือเดินทะเลเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้าม จึงไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ มาตรา ๔๗ นั้นปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา ๔๗ และศาลล่างทั้งสองมิได้หยิบยกบทกฎหมายดังกล่าวมาลงโทษจำเลยทั้งสองแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยไม่ได้หาประโยชน์จากท่าเรือเป็นการขนถ่ายสินค้าของตนเอง ไม่มีลักษณะเป็นการให้บริการนั้นเห็นว่า ตามประกาศกระทรวงคมนาคม ฉบับลงวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๒๔ ดังกล่าวใช้คำว่า “ท่าเรือ หมายความว่า สถานที่สำหรับให้บริการแก่เรือเดินทะเล………” เป็นการให้บริการแก่เรือ มิได้หมายถึงแก่ตนเองหรือผู้อื่น และตามพระราชกฤษฎีกากำหนดให้กิจการท่าเรือเดินทะเลเป็นกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภคอันกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัย หรือผาสุกของประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓ ก็มีข้อความว่า “……ไม่ว่าจะมีการเรียกค่าตอบแทนในการให้บริการหรือไม่…..” แสดงว่า การประกอบกิจการท่าเรือ ผู้ประกอบกิจการแม้ไม่ได้มุ่งหาประโยชน์จากกิจการดังกล่าว ก็ต้องได้รับอนุญาตเพราะกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัยหรือผาสุกของประชาชน
ปัญหาสุดท้ายที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยที่ ๒ เพื่อประโยชน์และวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ ๑ ในนามของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดนั้น เห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคล มีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้จัดการกระทำกิจการต่าง ๆ แทน ลำพังจำเลยที่ ๑ ไม่อาจกระทำกิจการด้วยตนเองได้ การกระทำความผิดเกิดขึ้นเนื่องมาจากจำเลยที่ ๒ โดยตรง หากผู้ลงมือกระทำไม่ต้องรับผิดร่วมด้วยแล้วย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ไม่สุจริตละเมิดกฎหมายได้ เพราะสามารถปัดความรับผิดไปให้แก่นิติบุคคลได้ ต้องถือว่าจำเลยที่ ๒ ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ ๑ ด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share