แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ โจทก์ร่วมและจำเลยต่างทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โดยจำเลยใช้มีดของกลางแทงทำร้ายโจทก์ร่วม ส่วนโจทก์ร่วมใช้ไม่ตีจำเลยจนได้รับบาดเจ็บแต่เมื่อปรากฏว่าขณะเกิดเหตุจำเลยดื่มสุราจนมึนเมา กลับมายังที่เกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านของมารดาโจทก์ร่วมที่จำเลยเช่าอยู่ และได้ขึ้นไปนอนขวางประตูหน้าห้องเช่าของบุคคลอื่นโจทก์ร่วมและเพื่อนของจำเลยช่วยกันพยุงจำเลยลงมาที่ห้องพักของจำเลยบริเวณชั้นล่าง ในช่วงเวลาดังกล่าวจำเลยถูกบุคคลอื่นพูดจาถากถาง เกิดความไม่พอใจ จึงใช้มีดของกลางทุบตีรั้วสังกะสีและส่งเสียงดัง โจทก์ร่วมซึ่งเป็นบุตรเจ้าของบ้านย่อมมีความชอบธรรมที่จะเข้าทำการห้ามปรามจำเลยแต่จำเลยกลับใช้มีดของกลางแทงโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมจึงใช้ไม้ตีต่อสู้เมื่อเหตุที่เกิดขึ้นจำเลยเป็นผู้ก่อขึ้นก่อนการที่จำเลยทำร้ายโจทก์ร่วมดังกล่าว จึงมิใช่การป้องกันตัว โจทก์ร่วมถูกจำเลยใช้มีดของกลางซึ่งมีขนาดความยาวถึง11 นิ้วแทงหลายทีในระยะกระชั้นชิดติดต่อกัน เกิดบาดแผล4 แห่ง ซึ่งล้วนอยู่ในตำแหน่งของอวัยวะสำคัญบาดแผลดังกล่าวบางแห่งเป็นบาดแผลฉกรรจ์ หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีมีโอกาสถึงแก่ชีวิตได้ แสดงว่าจำเลยแทงโจทก์ร่วมโดยมีเจตนาฆ่า แต่เนื่องจากแพทย์ทำการรักษาได้ทันโจทก์ร่วมจึงไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 33 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานายสมบูรณ์ โฉมศรี ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 ลงโทษจำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุก 7 ปี 6 เดือนริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) ลงโทษจำคุก 3 ปี คำรับของจำเลยชั้นจับกุมจนถึงชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง โจทก์ร่วมและจำเลยต่างทำร้ายกัน โดยจำเลยใช้อาวุธมีดของกลางแทงโจทก์ร่วมได้รับบาดแผล ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง และโจทก์ร่วมใช้ไม้ตีจำเลยได้รับบาดแผล ตามใบความเห็นของแพทย์เอกสารหมาย ล.1 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้องหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยมีอาการเมาสุราขึ้นไปนอนขวางประตูหน้าห้องเช่าของผู้หญิงซึ่งอยู่ชั้นบนผู้หญิงเจ้าของห้องนั้นเรียกพยานให้ช่วยนำจำเลยลงไปห้องของจำเลยชั้นล่าง พยานจึงเรียกเพื่อนของจำเลยมาช่วยพยุงจำเลยลงมาชั้นล่าง แต่ยังไม่ทันถึงห้องจำเลยก็ปล่อยจำเลย หลังจากนั้นพยานก็กลับไปนอนได้สักพักหนึ่ง มารดาพยานปลุกให้ไปดูว่าเสียเอะอะโวยวายที่ชั้นล่างเป็นเสียงอะไร พอพยานลงมาชั้นล่างก็เห็นจำเลยกำลังใช้อาวุธมีดของกลางแทงข้างฝาบ้านและพูดจับใจความไม่ได้ คล้าย ๆ จำเลยไม่พอใจอะไรสักอย่าง พยานสอบถามจำเลยว่ามีอะไร จำเลยไม่พูดอะไรตรงเข้าแทงพยานทันทีถูกบริเวณหน้าแขนขวาทะลุเข้าทรวงอกไปถึงปอด 1 ครั้ง และแทงที่หน้าท้องอีก จำเลยแทงโจทก์ร่วมรวมทั้งหมด 6 ครั้ง เมื่อพยานถูกแทงครั้งแรกพยานถอยออกมาและล้มลงไป ขณะเดียวกันได้หยิบไม้ข้างห้องยาวประมาณ 6 นิ้ว กว้างประมาณ 3 นิ้ว จำนวน 1 ท่อน ตีสวนไปถูกจำเลยที่ต้นคอด้านหลัง จำเลยล้มลงไป และมีนางชอุ่มเจ้าบ้านและมารดาโจทก์ร่วมเป็นพยานเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุมีเสียงเอะอะไล่จำเลยจากชั้นบนลงมาข้างล่างพยานจึงให้โจทก์ร่วมไปดู พยานเดินตามลงมาด้วย พบจำเลยนั่งหลับอยู่กับเพื่อนชาย จำเลยมีอาการเมาสุรา ต่อมาพยานขึ้นไปนอนในห้องพักชั้นบนกำลังจะเคลิ้มหลับได้ยินจำเลยส่งเสียงโวยวาย จึงบอกให้โจทก์ร่วมลงไปดู พยานมองจากหน้าต่างไปห้องจำเลย เห็นจำเลยกำลังกระทุ้งข้างฝาเสียงดังปึงปังและได้ยินเสียงโครมครามพยานจึงลงมาดูเห็นโจทก์ร่วมถูกแทงมีเลือดที่แขนที่ท้องเต็มไปหมดทั้งจำเลยและโจทก์ร่วมต่างหมดแรงนอนอยู่ พยานทั้งสองไม่เคยมีสาเหตุกับจำเลย โจทก์ร่วมเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่าจำเลยไม่เคยมีความประพฤติเสียหาย นางชอุ่มเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า ก่อนเกิดเหตุเคยพูดกับจำเลย จำเลยเป็นคนประพฤติตัวดีจึงเชื่อได้ว่าพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองไม่ได้แกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวน ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.8 ว่าขณะที่โจทก์ร่วมและเพื่อนจำเลยช่วยกันพยุงจำเลยลงมาชั้นล่างผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นญาติกับเจ้าบ้านพูดถากถางจำเลยว่าไม่ต้องลากมันลงไปหรอก ถีบมันลงไปเลย ทำให้จำเลยเกิดความไม่พอใจ เมื่อมาถึงห้องพัก จำเลยพูดเสียงดังว่ามึงจะเอาหรือเปล่าและใช้มีดของกลางทุบรั้วสังกะสีทำให้เกิดเสียงดังและปรากฏตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.7 ว่า จำเลยรับว่าวันเกิดเหตุจำเลยดื่มสุรา และได้มาอาละวาดและใช้มีดของกลางทุบตีรั้วสังกะสีจนโจทก์ร่วมบุตรชายเจ้าบ้านลงมาดูและห้ามปรามแต่จำเลยเมาสุรา จึงใช้มีดของกลางแทงโจทก์ร่วม สอดคล้องกับคำเบิกความของตัวโจทก์ร่วมและนางชอุ่ม ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าวันเกิดเหตุจำเลยดื่มสุรากลับมาที่เกิดเหตุด้วยความมึนเมาและได้ขึ้นไปนอนขวางประตูหน้าห้องเช่าคนอื่น ต่อมาโจทก์ร่วมและเพื่อนของจำเลยช่วยกันพยุงจำเลยลงมาที่ห้องพักของจำเลยชั้นล่าง แต่ในระหว่างที่พยุงจำเลยลงมาได้มีการพูดจาถากถางจำเลยและทำให้จำเลยเกิดความไม่พอใจ จำเลยจึงใช้อาวุธมีดของกลางทุบตีรั้วสังกะสีและส่งเสียงดังในยามวิกาล โจทก์ร่วมซึ่งเป็นบุตรเจ้าของบ้านย่อมมีความชอบธรรมที่จะห้ามปรามจำเลยแต่จำเลยกลับใช้อาวุธมีดดังกล่าวแทงโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมจึงใช้ไม้ตีจำเลย ดังนี้เห็นได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนการที่จำเลยทำร้ายโจทก์ร่วมจึงไม่เป็นการป้องกัน
ปัญหาต่อไปมีว่า การที่จำเลยแทงทำร้ายโจทก์ร่วมดังกล่าวจำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมดังฟ้องหรือไม่ ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง ปรากฏว่าบาดแผลของโจทก์ร่วมที่ถูกจำเลยแทงทำร้ายมี 4 แผล บาดแผลที่ลุดทะลุภายใน 2 แผล คือ(1) บาดแผลฉีกขาดขอบเรียบ 5×0.5 เซนติเมตร บริเวณหน้าอกแถบขวาระดับราวนม (2) บาดแผลฉีกขาดบริเวณหน้าท้องแถบขวาระดับสะดือประมาณ 5×1 เซนติเมตร พบลำไส้และอุจจาระออกมานอกบาดแผลเห็นได้ว่าบาดแผลเหล่านี้ล้วนอยู่ในตำแหน่งอวัยวะสำคัญ และเมื่อพิจารณาประกอบกับของกลางที่เป็นอาวุธมีดพกขนาดยาวประมาณ 11 นิ้ว และเป็นการแทงหลายทีในระยะกระชั้นชิดติดต่อกันส่อแสดงว่าจำเลยมีเจตนาแทงเพื่อฆ่าโจทก์ร่วมให้ถึงแก่ความตายหากแพทย์ได้ช่วยเหลือเยียวยารักษาไว้ทันท่วงทีจึงไม่ถึงแก่ชีวิตร้อยตำรวจเอกรุ่งเรือง กิจผาติ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมอีกปากหนึ่งซึ่งเป็นแพทย์ผู้รักษาโจทก์ร่วมเบิกความว่าพยานได้ช่วยชีวิตโจทก์ร่วมเบื้องต้นและทำการผ่าตัดโดยใส่ท่อระบายเลือดที่ช่องอกด้านขวาผ่าตัดต่อลำไส้ส่วนที่ถูกทำลาย พยานได้ทำรายงานการตรวจและให้ความเห็นว่า บาดแผลที่ 1 และที่ 2เป็นบาดแผลฉกรรจ์ หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีมีโอกาสถึงแก่ชีวิตได้ โดยพฤติการณ์และบาดแผลประกอบด้วยอาวุธดังกล่าวมา ฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมดังฟ้องที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษา ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น