คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1366/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำไว้กับโจทก์เป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฝ่ายเดียว โดยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์จริงโจทก์หาได้ลงลายมือชื่อ โดยมีการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ลูกหนี้หรือสาระสำคัญแห่งหนี้อันจะถือว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 ไม่ จึงไม่ทำให้มูลหนี้เดิมระงับสิ้นไปเกิดเป็นมูลหนี้ใหม่ คือมูลหนี้เงินที่ต้องผ่อนชำระทุนคืนเป็นงวด ๆ ตามหนังสือรับสภาพหนี้ ซึ่งมีอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33(2) ที่แก้ไขใหม่ เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้กับโจทก์ย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/14(1) ที่แก้ไขใหม่ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ และเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลาเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดคือวันที่ 4 เมษายน 2523 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้กับโจทก์ ซึ่งนับถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี หนี้ตามคำขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและหนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อหรือทรัสต์รีซีทซึ่งจำเลยที่ 3ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้ จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์ มีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาจำเลยทั้งสามทำหนังสือรับสภาพหนี้แล้วชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วน คงค้างชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยนับจากวันชำระหนี้ครั้งสุดท้ายถึงวันก่อนฟ้องเป็นเงิน8,411,943.22 บาท โจทก์มีหนังสือทวงถามจำเลยทั้งสาม 2 ครั้งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน จำเลยที่ 1 และที่ 2หลีกเลี่ยงไม่ยอมรับ ส่วนจำเลยที่ 3 ได้รับแล้วไม่ชำระหนี้ จำเลยทั้งสามไม่มีทรัพย์สินที่จะยึดมาชำระหนี้ได้ ถือว่าจำเลยทั้งสามมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสามล้มละลาย
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ให้การว่า ไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้และไม่เคยมอบอำนาจให้ผู้ใดไปทำหนังสือรับสภาพหนี้ หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องให้จำเลยที่ 3 เป็นบุคคลล้มละลายเป็นหนี้ที่ขาดอายุความ และไม่อาจกำหนดจำนวนได้แน่นอน ทั้งยังมีข้อต่อสู้อยู่ จำเลยที่ 3 มิได้เป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2ทำไว้กับโจทก์เป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฝ่ายเดียวโดยการทำเป็นหนังสือให้ไว้ต่อโจทก์ ยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์จริงโจทก์หาได้ลงลายมือชื่อในเอกสาร โดยมีการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ลูกหนี้หรือสาระสำคัญแห่งหนี้อันจะถือว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 จึงไม่ทำให้มูลหนี้เดิมระงับสิ้นไปเกิดเป็นมูลหนี้ใหม่คือมูลหนี้เงินที่ต้องผ่อนชำระทุนคืนเป็นงวด ๆ ซึ่งมีอายุความ 5 ปี ดังที่จำเลยที่ 3 ฎีกาแต่อย่างใดเมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้กับโจทก์ ย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(1)ที่แก้ไขใหม่ กล่าวคือหนี้ตามคำขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต และหนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อหรือทรัสต์รีซีทซึ่งจำเลยที่ 3 นำสืบรับว่าทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้ และมีอายุความ 10 ปี ย่อมสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใดจึงให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/15 ที่แก้ไขใหม่ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้กับโจทก์เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2523 เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงจึงสิ้นสุดลงในวันดังกล่าวแม้ไม่นำการผ่อนชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้มาพิจารณา โดยเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2523 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2533อันเป็นวันที่โจทก์ฟ้องคดีก็ยังไม่เกิน 10 ปี หนี้ตามคำขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต และหนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อหรือทรัสต์รีซีทซึ่งจำเลยที่ 3 ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้ จึงไม่ขาดอายุความ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share