แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 นั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงเป็นยุติแล้วว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 343 ซึ่งก็เท่ากับว่าเป็นความผิดตามมาตรา 341 ด้วยฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดี ส่วนฎีกาข้ออื่นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกา
จำเลยที่ 1 ที่ 4 เห็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 4 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายในอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ 4 ว่า กรณีเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งมิใช่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงเพราะเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ที่ 4 ตลอดจนนายมณฑล พรหมสุวรรณ กับพวกไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญาที่ได้รับรองไว้แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง และปัญหาว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 4 จะปรับเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 หรือมาตรา 343 ซึ่งจำเลยที่ 1 ที่ 4เห็นว่าหากศาลจะฟังว่าจำเลยที่ 1 ที่ 4 มีความผิด จำเลยก็ควรมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 เท่านั้น ฎีกาของจำเลยจึงเป็นข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยที่ 1 ที่ 4 ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 188)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343,83 พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 7,28 ลงโทษฐานฉ้อโกงประชาชน จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 คนละ 5 ปี สำหรับจำเลยที่ 4ซึ่งเป็นนิติบุคคลให้ปรับ 10,000 บาท ลงโทษฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาต ปรับจำเลยทั้งสี่คนละ 1,000 บาท ฯลฯ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนเงินจำนวน 1,997,400 บาท แก่ผู้เสียหายด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยร่วมกันคืนเงินจำนวน1,985,400 บาท แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ที่ 4 จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ต่างฎีกา เฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 4 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 171,173 แผ่นที่ 2,176 แผ่นที่ 2)
จำเลยที่ 1 ที่ 4 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 188)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยร่วมกันคืนเงินจำนวน 1,985,400 บาทแก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น เท่ากับศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังว่า การกระทำของจำเลยที่ 1, ที่ 4 ตามฟ้องเป็นความผิดอาญาฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343,83 มิใช่เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งส่วนที่ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 มิได้เป็นความผิดตามมาตรา 343 จึงเป็นการเถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าการกระทำของจำเลยตามฟ้องเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343ฎีกาของจำเลยที่ 1, ที่ 4 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลของคำสั่ง ให้ยกคำร้องฎีกาจำเลยที่ 1,ที่ 4