คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7662/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยรับในฎีกาของจำเลยว่า ศ. ถือกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์ ป. และ น. ในที่ดินพิพาท ซึ่งยังไม่ได้มีการแบ่งแยกการครอบครองเป็นสัดส่วน ดังนั้น แม้ ศ. จะอนุญาตให้จำเลยเข้าไปปลูกบ้านในที่ดินพิพาท อันเป็นการใช้ทรัพย์สินในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม แต่ก็มิใช่เป็นการใช้ทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของตนเองตามสภาพปกติ เป็นการใช้ทรัพย์สินที่ขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่น ๆ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1360 วรรคหนึ่ง ย่อมไม่อาจกระทำได้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อบ้านและสิ่งปลูกสร้างแล้วขนย้ายออกไปจากที่ดินส่วนของโจทก์กับพวกในโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๖๘๗ ตำบลไทรน้อย (ทวีวัฒนา) อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงินเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างแล้วขนย้ายออกไปจากที่ดินส่วนของโจทก์กับพวก
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษากลับ ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายออกไปจากที่ดินพิพาท และห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๔๐) จนกว่าจะรื้อถอนและขนย้ายออกไปจากที่ดินพิพาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๔,๐๐๐ บาท
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นควรวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทหรือไม่ ซึ่งในปัญหาข้อนี้จำเลยรับในฎีกาของจำเลยว่า นาวาโทศักดิ์สิทธิ์ถือกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์ นางสาวประภาและนางสาวนาตยาในที่ดินพิพาทโดยยังไม่ได้แบ่งแยกการครอบครองออกเป็นส่วนสัด การที่นาวาโทศักดิ์สิทธิอนุญาตให้จำเลยปลูกบ้านในที่ดินพิพาทเป็นการใช้สิทธิในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม จำเลยจึงมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทได้ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๐ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ มีสิทธิใช้ทรัพย์สินได้ แต่การใช้นั้นต้องไม่ขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่น ๆ” ดังนั้น ถึงแม้จะฟังว่ายังไม่มีการแบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัดในที่ดินกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์ นางสาวประภา นางสาวนาตยา และนาวาโทศักดิ์สิทธิ์ตามข้อต่อสู้ของจำเลย แต่การใช้ทรัพย์สินกรรมสิทธิ์รวมของนาวาโทศักดิ์สิทธิ์ต้องเป็นการใช้ทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของตนเอง การที่นาวาโทศักดิ์สิทธิ์อนุญาตให้จำเลยใช้ปลูกบ้าน นอกจากจะมิใช่เป็นการใช้ทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของตนเองตามสภาพปกติแล้วยังเป็นการใช้ที่ขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่น ๆ จึงไม่มีสิทธิทำได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทได้
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๑,๕๐๐ บาท แทนโจทก์.

Share