คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 766/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทะเลาะกับจำเลยแล้วออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่นต่อมาเมื่อจำเลยทราบว่าโจทก์ไปติดพันหญิงที่อื่นฉันชู้สาวย่อมก่อให้จำเลยเกิดความหึงหวงและจำเป็นต้องป้องกันเพื่อมิให้โจทก์ทอดทิ้งตนและบุตรการที่จำเลยทำหนังสือร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดกล่าวหาโจทก์ในเรื่องดังกล่าวเพื่อขอความเป็นธรรมให้แก่จำเลย โดยไม่ปรากฏว่าได้ขอให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยแก่โจทก์ จึงเท่ากับเป็นเชิงขอให้ผู้บังคับบัญชาว่ากล่าวตักเตือนให้โจทก์สำนึกในการกระทำอันอาจจะก่อความเดือดร้อนให้แก่ครอบครัวการกระทำของจำเลยดังกล่าวถือไม่ได้ว่าจำเลยทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อโจทก์อย่างร้ายแรงและยังไม่ถึงขนาดที่ก่อ ความเดือดร้อนเกินควรต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรหญิงด้วยกัน 1 คน จำเลยได้ทำหนังสือร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดกล่าวหาว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอื่น เพื่อให้โจทก์มีความผิดทางวินัย การกระทำของจำเลยเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา

จำเลยให้การว่า โจทก์ไปติดพันหญิงอื่นแล้วมาข่มขืนใจให้จำเลยหย่า จำเลยไม่ยอมหย่า โจทก์ก็ตบตีจนเกิดอันตรายแก่กายหลายครั้ง จำเลยทำหนังสือร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อขอความเป็นธรรม ไม่ใช่หนังสือร้องเรียนเพื่อจะให้โจทก์ออกจากราชการ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามหนังสือร้องเรียนที่จำเลยมีถึงผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรกล่าวหาว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอื่นซึ่งสรุปความได้ว่า จำเลยกำลังประสบความเดือดร้อนเนื่องจากสามีของจำเลยติดพันหญิงอื่นอยู่ และขอหย่าขาดกับจำเลยระหว่างที่ขอหย่าขาดนี้สามีของจำเลยได้ข่มขู่กล่าวคำอาฆาตตลอดจนทำร้ายร่างกายจำเลยหลายครั้งหลายคราวซึ่งการทำร้ายนี้ถึงขั้นทุบตี เลือดสาด จำเลยพยายามอดทนและพยายามจะออมชอมกัน แต่ก็ไม่สามารถทำได้ จึงขอให้ความเป็นธรรมแก่จำเลยด้วย ปรากฏว่าจำเลยเป็นภริยาโจทก์มีบุตรหญิงด้วยกัน 1 คน เมื่อจำเลยทราบข่าวว่าโจทก์ผู้เป็นสามีไปติดพันหญิงอื่นฉันชู้สาวประกอบกับโจทก์เองก็รับว่า เมื่อต้นปีพ.ศ. 2522 โจทก์กับจำเลยทะเลาะกันเรื่องโจทก์ถอนเงินออมสินซื้อรถจักรยานสองล้อให้บิดา โจทก์จึงออกจากบ้านจำเลยมาอยู่ที่โรงเรียนอนุบาลชุมพรประมาณ 6 เดือนโดยไม่เคยกลับไปอยู่กับจำเลยอีกจนกระทั่งโจทก์ย้ายไปเป็นครูใหญ่โรงเรียนด่านสวีวิทยาพฤติการณ์เช่นนี้ย่อมก่อให้จำเลยเกิดความหึงหวง และจำเป็นต้องป้องกันมิให้โจทก์ไปมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอื่น อันจะเป็นเหตุให้โจทก์ทอดทิ้งตนและบุตรได้ เหตุนี้ทำให้จำเลยทำหนังสือร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรเพื่อขอความเป็นธรรมให้แก่จำเลย ซึ่งเท่ากับเป็นเชิงขอให้ผู้บังคับบัญชาว่ากล่าวตักเตือนให้โจทก์สำนึกในการกระทำของตนอันอาจจะก่อความเดือดร้อนให้แก่ครอบครัว ในหนังสือร้องเรียนดังกล่าวก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยขอให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยแก่โจทก์แต่อย่างใด ซึ่งข้อนี้จำเลยเบิกความยืนยันว่าจำเลยไม่ต้องการที่จะให้โจทก์ออกจากราชการที่จำเลยร้องเรียนโจทก์ก็เนื่องจากอารมณ์หึงหวง การกระทำของจำเลยดังกล่าวมายังถือไม่ได้ว่าจำเลยทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อโจทก์อย่างร้ายแรงและเมื่อได้พิจารณาถึงสภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาระหว่างโจทก์กับจำเลยมาคำนึงประกอบแล้ว การกระทำนั้นยังไม่ถึงขนาดที่ก่อความเดือดร้อนเกินควรต่อโจทก์แต่อย่างใด จึงไม่มีเหตุที่จะให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน

พิพากษายืน

Share