คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1279/2524

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การขอขยายกำหนดเวลายื่นฎีกาจะพึงทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษและต้องมีคำขอขึ้นมาเสียก่อนสิ้นระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นฎีกา เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย จึงจะมีคำขอขึ้นมาภายหลังได้ ถ้าเหตุที่จำเลยอ้างตามคำร้องนั้นเห็นได้ชัดว่าแม้จะไต่สวนได้ความสมจริงดังข้ออ้างก็มิใช่กรณีมีเหตุสุดวิสัย แต่เป็นกรณีที่จำเลยเพิกเฉยละเลยต่อการดำเนินคดีของตน ศาลก็ไม่จำเป็นต้องทำการไต่สวน
จำเลยทราบดีว่าทนายจำเลยจะไม่มีโอกาสดำเนินคดีแทนจำเลยต่อไปเพราะจำเลยไม่ต้องการให้ทนายจำเลยดำเนินคดีในชั้นฎีกา จำเลยก็ชอบที่จะถอนทนายจำเลยขณะคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ได้ทุกเมื่อ และติดตามฟังผลคดีด้วยตนเองเพื่อจะใช้สิทธิยื่นฎีกา ดังนั้นการที่ทนายจำเลยได้รับหมายนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แล้วไม่แจ้งให้จำเลยทราบ ทำให้จำเลยไม่อาจยื่นคำขอขยายกำหนดเวลายื่นฎีกาได้ก่อนสิ้นระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นฎีกา จึงเป็นความบกพร่องผิดพลาดของจำเลย ไม่ใช่เป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัย ทั้งเหตุที่อ้างมาก็ไม่ถือได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษที่จะขยายกำหนดเวลายื่นฎีกาให้จำเลยด้วย

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยร่วมกันใช้เงินชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยมิได้ยื่นฎีกาภายในกำหนดเวลายื่นฎีกา แต่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นหลังจากล่วงเลยกำหนดเวลาฎีกาแล้วขอให้ไต่สวนแล้วมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “จะได้วินิจฉัยว่าตามที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยทั้งสี่นั้นชอบหรือไม่ ปรากฏว่าในวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ผู้รับมอบฉันทะจากทนายโจทก์มาศาล ส่วนจำเลยทราบนัดแล้วไม่มา ศาลชั้นต้นจึงได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ผู้รับมอบฉันทะจากทนายโจทก์ฟัง และให้ถือว่าจำเลยทราบคำพิพากษานี้แล้ว จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องขอยื่นฎีกาโดยอ้างเหตุว่า ในการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เจ้าพนักงานศาลส่งหมายนัดไปยังนายชื่น กุหลาบขาว ทนายจำเลย เนื่องจากนายชื่นทราบว่าไม่ว่าคดีจะแพ้หรือชนะ ตัวจำเลยไม่ต้องการให้นายชื่นว่าความในชั้นฎีกาต่อไป ดังนั้นเมื่อได้รับหมายนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ นายชื่นจึงไม่ได้แจ้งให้ตัวจำเลยทราบ ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2522 พนักงานเดินหมายนำคำบังคับคดีไปปิดที่ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำเลยทั้งสี่จึงได้มาตรวจสำนวนคดีที่ศาลแพ่ง ปรากฏว่า พ้นกำหนดยื่นฎีกาแล้ว จำเลยทั้งสี่ไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นฎีกาเพราะเป็นเหตุสุดวิสัย ทั้งคดีจำเลยทั้งสี่มีทางชนะในชั้นฎีกาไม่ว่าปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ให้ไต่สวนและมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสี่

พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การขอขยายกำหนดเวลายื่นฎีกามีบทบัญญัติมาตรา 23 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบังคับว่า จะพึงทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ และต้องมีคำขอขึ้นมาเสียก่อนสิ้นระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นฎีกา เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย จึงจะมีคำขอขึ้นมาภายหลังได้ เท่าที่จำเลยทั้งสี่อ้างตามคำร้องนั้น เห็นอยู่ชัด ๆ ว่า แม้จะไต่สวนได้ความจริงดังตามข้ออ้างก็มิใช่กรณีเหตุสุดวิสัย แต่เป็นกรณีที่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉยละเลยต่อการดำเนินคดีของตน ทั้ง ๆ ที่ทราบดีแล้วว่าทนายจำเลยจะไม่มีโอกาสดำเนินคดีแทนจำเลยต่อไป ที่ถูกเมื่อจำเลยไม่ต้องการให้ทนายจำเลยดำเนินคดีในชั้นฎีกา ชอบที่จะขอถอนทนายจำเลยขณะคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาใช้สิทธิยื่นฎีฏา ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นความบกพร่องผิดพลาดของจำเลยทั้งสี่ ไม่ใช่เป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัย ทั้งเหตุที่อ้างมาไม่พึงถือได้ว่า มีพฤติการณ์พิเศษที่จะขยายกำหนดเวลายื่นฎีกาให้จำเลยทั้งสี่ได้ด้วย กรณีไม่จำเป็นต้องทำการไต่สวนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”

พิพากษายืน

Share