คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 766/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมสามีจำเลยทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์ ยังไม่ทันจดทะเบียนโอนกัน สามีจำเลยก็ตาย ต่อมาโจทก์จำเลยจะพิพาทกัน จึงพากันไปอำเภอและทำสัญญาต่อกันไว้ว่า จำเลยจะให้เงินโจทก์ 4,000 บาท โจทก์จะคืนที่สวนแปลงหนึ่งและต่อไปก็จะคืนที่พิพาทให้บุตรจำเลยอีกด้วย สัญญานี้เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขาย
จำเลยต่อสู้ว่าสัญญาจะซื้อขายนั้นระงับไปแล้วโดยสัญญาใหม่ซึ่งมีความว่า จำเลยจะคืนเงิน ๕๐๐ บาทให้โจทก์ โจทก์จะไม่ต้องการซื้อที่ดินนั้นอีก
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ฝ่ายเดียวฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามศาลอุทธรณ์ว่า นายจิ้วสามีจำเลยได้ทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ ซึ่งเป็นพี่สาว เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๐๔ ยังไม่ทันได้จดทะเบียนโอนที่แก่กันนายจิ้วถึงแก่กรรม หลังจากนั้นโจทก์จำเลยก็เริ่มจะพิพาทกัน จึงได้พากันไปที่อำเภอและทำสัญญาเอกสาร ล.๑ ซึ่งมีความว่าจำเลยยอมชำระเงิน ๔,๐๐๐ บาทให้โจทก์ ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองตรังในวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๐๗ แล้วโจทก์จะคืนสวนยางแปลงหนึ่งให้จำเลยกับต่อไปจะคืนที่พิพาทให้แก่บุตรจำเลยอีกด้วย ครั้นถึงวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๐๗ โจทก์ไปคอยรับชำระเงินที่อำเภอตอนเช้า แต่จำเลยไปถึงอำเภอตอนบ่ายจึงไม่พบกัน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญา ล.๑ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงระงับสิทธิของโจทก์ซึ่งเคยมีตามสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทเสียแล้ว โจทก์ไม่อาจฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายเดิมได้
พิพากษายืน.

Share