แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อุทธรณ์ของโจทก์ที่อ้างว่างานที่โจทก์ทำไม่เข้าลักษณะงานตามประกาศกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับเงินประกันการทำงานหรือเงินประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้าง ซึ่งออกตามมาตรา 6 และมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 จำเลยที่ 1 ต้องคืนเงินประกัน การทำงานที่เก็บไปให้แก่โจทก์นั้น แม้มิใช่ข้อที่ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลาง แต่เป็นการอุทธรณ์เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ที่นายจ้างจะเรียกหรือรับเงินประกันการทำงานหรือเงินประกันความเสียหายจากการทำงานตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 อันเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์มีสิทธิยกขึ้นอุทธรณ์ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31
โจทก์มิใช่พนักงานการเงิน แต่โจทก์เป็นผู้จัดการอาคารชุด มีสิทธิรับเงินจากลูกค้าและออกใบเสร็จรับเงิน ในนามตนเอง ควบคุมกำกับดูแลการจัดเก็บเงินและค่าใช้จ่ายต่างๆ ควบคุมการนำส่งทางการเงินและบัญชี ควบคุมพนักงานการเงินให้จัดเก็บเงินให้ถูกต้องตามความเป็นจริง และมีอำนาจตรวจสอบความถูกต้องทางการเงินด้วย โจทก์จึงเป็นผู้มีหน้าที่ควบคุมเงินของนายจ้างอันเป็นงานตามประกาศกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับเงินประกันการทำงานหรือเงินประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้าง ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2541 ข้อ 4 (6) นายจ้างเรียกเก็บเงินประกันการทำงานจากโจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินประกันการทำงานเป็นเงิน ๑๒,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินประกันการทำงาน ๑,๕๕๗ บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑,๕๕๗ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๔๐ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนิติบุคคล ประเภทบริษัทจำกัด ได้รับโจทก์เป็นลูกจ้าง จ่ายค่าจ้างเป็นเดือนทุกวันสิ้นเดือน โจทก์ทำงานติดต่อกันจนถึงวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ ซึ่งในขณะนั้นโจทก์เป็นผู้จัดการอาคารชุดโครงการนิติบุคคลอาคารชุดเคหะชุมชนร่มเกล้า ๑ จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าจ้างให้โจทก์เดือนละ ๑๓,๗๕๙ บาท ครั้นวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ เป็นต้นไป โจทก์ไม่ได้มาทำงาน กับจำเลยที่ ๑ ตามปกติ ระหว่างที่โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ นั้น จำเลยที่ ๑ ได้หักเงินประกันการทำงานจากเงินเดือนของโจทก์รวม ๑๒,๐๐๐ บาท โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ ๑ หักเงินเดือนของโจทก์เป็นเงินประกันการทำงานเดือนละ ๑,๒๐๐ บาท ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๐ ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ เป็นเงิน ๑๒,๐๐๐ บาท ซึ่งงานของโจทก์ที่ลงลายมือชื่อ ในใบเสร็จรับเงิน บางครั้งก็ไปเก็บเงินจากลูกค้าเนื่องจากพนักงานการเงินไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากลูกค้าได้ทันนั้นเป็นเพียงการให้บริการแก่ลูกค้า โจทก์ไม่ใช่พนักงานเก็บและจ่ายเงิน งานที่โจทก์ทำไม่เข้าลักษณะงาน ๖ ประเภทงานที่นายจ้างจะเรียกเงินประกันการทำงานจากลูกจ้างได้ ตามประกาศกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับเงินประกันการทำงานหรือเงินประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้าง ซึ่ง ออกตามมาตรา ๖ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ จำเลยที่ ๑ จึงต้องคืนเงินประกัน การทำงานดังกล่าวให้แก่โจทก์ตามมาตรา ๑๐ วรรคสุดท้าย ไม่มีสิทธินำไปหักชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ ๑ นั้น เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้แม้จะมิใช่ข้อที่ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลาง แต่เป็นอุทธรณ์เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ ที่นายจ้างจะเรียกหรือรับเงินประกันการทำงานหรือเงินประกันความเสียหายจากการทำงานตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ อันเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์มีสิทธิยกขึ้นอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคสอง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ เห็นว่า แม้โจทก์จะมิใช่พนักงานการเงิน แต่การที่โจทก์เป็นผู้จัดการอาคารชุดมีสิทธิที่จะรับเงินจากลูกค้าและออกใบเสร็จรับเงินในนามของตนเองได้ ควบคุมกำกับดูแลในการจัดเก็บเงิน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ควบคุมการนำส่งทางการเงินและบัญชีควบคุมพนักงานการเงินให้จัดเก็บเงินให้ถูกต้องตาม ความเป็นจริงและมีอำนาจตรวจสอบความถูกต้องทางการเงินด้วย โจทก์จึงเป็นผู้มีหน้าที่ควบคุมเงินของนายจ้าง อันเป็นงานในข้อ ๔ (๖) ที่นายจ้างสามารถเรียกเก็บเงินประกันการทำงานจากโจทก์ได้ ตามประกาศกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับเงินประกันการทำงานหรือเงินประกันความเสียหาย ในการทำงานจากลูกจ้าง ลงวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๑ จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องคืนเงินประกันการทำงานตามฟ้องให้แก่โจทก์ อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน.