คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7651/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องทำหนังสือค้ำประกันไว้ในศาลระบุว่า ผู้ร้องขอเข้าทำสัญญาเป็นผู้ค้ำประกันในศาล สำหรับจำเลยเพื่อชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาและค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนจนครบ และนำหลักทรัพย์โฉนดที่ดิน (น.ส. 4 จ.) เลขที่ 2669 เลขที่ดิน 28 มาวางเป็นหลักประกัน หากจำเลยไม่ชำระ ผู้ร้องยินยอมให้บังคับแก่ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน คำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนี้ ย่อมใช้บังคับแก่การประกันโดยไม่ต้องฟ้องผู้ค้ำประกันขึ้นใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 274
แม้หนังสือค้ำประกันจะเป็นการค้ำประกันในชั้นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ และมีข้อความระบุทำนองว่า เพื่อชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาและค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนในศาลอุทธรณ์ภาค 4 โดยคิดถึงวันฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 แต่ในชั้นยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา จำเลยยื่นคำร้องขอถือเอาหลักประกันเพื่อใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย และศาลฎีกามีคำสั่งว่า การยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 252 จะต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234 ประกอบมาตรา 247 เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้ถือเอาหลักประกันในชั้นยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์มาเป็นหลักประกันในชั้นนี้ แม้ศาลชั้นต้นจะยกคำร้อง ก็พอถือได้ว่าจำเลยได้วางหลักประกันในชั้นนี้แล้ว ศาลฎีการับวินิจฉัยคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย ย่อมเท่ากับว่าจำเลยได้วางหลักประกันในชั้นฎีกาด้วย เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งว่าที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว คดีถึงที่สุดปรากฏว่าจำเลยยังมิได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาและค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนแก่โจทก์ ผู้ร้องก็ไม่อาจขอรับโฉนดที่ดินอันเป็นหลักประกันคืนจากศาลได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบรถตักล้อยางยี่ห้อแคตเตอร์พิลลาร์ รุ่น 916 หมายเลขตัวถัง 5 เคซี – 01570 แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 1,100,000 บาท และให้จำเลยชำระเงิน 240,000 บาท แก่โจทก์ และค่าเสียหายเดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาแทน แต่ทั้งนี้ไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันฟ้อง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยวางค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนภายใน 7 วัน นับแต่วันที่มีคำสั่ง ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่วางเงินหรือหาหลักประกัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ โดยผู้ร้องนำโฉนดที่ดิน เลขที่ 2669 เลขที่ดิน 28 ตำบลโพสาวหาญ อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ 17 ไร่เศษ วางเป็นหลักประกันค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนและทำหนังสือค้ำประกันไว้ต่อศาล
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอถือเอาหลักประกันในชั้นยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์เป็นหลักประกันในชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252 ไม่ต้องวางค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนและเงินต้องชำระตามคำพิพากษา ให้ยกคำร้องขอถือเอาหลักประกันในชั้นอุทธรณ์เป็นหลักประกันในชั้นฎีกา
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า การยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252 ต้องวางค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนและเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษา แต่พอถือได้ว่าจำเลยวางหลักประกันในชั้นฎีกาแล้ว และคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ศาลฎีกามีคำสั่งและคดีถึงที่สุดแล้ว จึงขอรับโฉนดที่ดินเลขที่ 2669 เลขที่ดิน 28 ตำบลโพสาวหาญ อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยาคืนไปจากศาล
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ไม่ปรากฏว่าจำเลยชำระเงินและค่าเสียหายตามคำพิพากษาผู้ร้องจึงไม่อาจรับคืนหลักประกัน ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอรับหลักประกันคืนจากศาลหรือไม่ เห็นว่า เมื่อผู้ร้องทำหนังสือค้ำประกันไว้ในศาลและในหนังสือค้ำประกันระบุว่า ผู้ร้องขอเข้าทำสัญญาเป็นผู้ค้ำประกันในศาลสำหรับจำเลยเพื่อชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาและค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนจนครบถ้วน และได้นำหลักทรัพย์โฉนดที่ดิน (น.ส. 4 จ.) เลขที่ 2669 เลขที่ดิน 28 ตำบลโพสาวหาญ อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาวางเป็นหลักประกัน หากจำเลยไม่ชำระ ผู้ร้องยินยอมให้บังคับแก่ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน ดังนี้ คำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนี้ ย่อมใช้บังคับแก่การประกันได้โดยไม่ต้องฟ้องผู้ค้ำประกันขึ้นใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 274 แม้หนังสือค้ำประกันจะเป็นการค้ำประกันในชั้นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ และมีข้อความระบุทำนองว่า เพื่อชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาและค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนในศาลอุทธรณ์ภาค 4 โดยคิดถึงวันฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 แต่ในชั้นยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา จำเลยได้ยื่นคำร้องขอถือเอาหลักประกันเพื่อใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยและศาลฎีกามีคำสั่งว่า การยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252 จะต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบมาตรา 247 เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้ถือเอาหลักประกันในชั้นยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์มาเป็นหลักประกันในชั้นนี้ แม้ศาลชั้นต้นจะยกคำร้อง แต่ก็พอถือได้ว่าจำเลยได้วางหลักประกันในชั้นนี้แล้ว ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย ดังนี้ ย่อมเท่ากับว่าจำเลยได้วางหลักประกันในชั้นฎีกาด้วย เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งว่าที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้วและคดีถึงที่สุด และปรากฏว่าจำเลยยังมิได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาและค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนแก่โจทก์จนครบถ้วน ผู้ร้องไม่อาจมาขอรับโฉนดที่ดินอันเป็นหลักประกันคืนไปจากศาลได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share