แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 3 บัญญัติว่า “ในพระราชกำหนดนี้ “ผู้กู้ยืมเงิน” หมายความว่า บุคคลผู้ทำการกู้ยืมเงิน และในกรณีที่ผู้กู้ยืมเงินเป็นนิติบุคคล ให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งลงนามในสัญญาหรือตราสารการกู้ยืมเงินในฐานะผู้แทนของนิติบุคคลนั้นด้วย” แม้จำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท ป. และบริษัท ซ. แต่การที่จำเลยทั้งสองได้ร่วมดำเนินกิจการกับบริษัททั้งสอง และได้รับผลประโยชน์ตอบแทน ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกับบริษัททั้งสองดังกล่าวเป็นผู้กู้ยืมเงินด้วย ทั้งนี้เพราะบุคคลธรรมดาอาจร่วมกับนิติบุคคลประกอบกิจการก็ได้ และเป็นผู้กู้ยืมเงินในความหมายของการกู้ยืมเงินตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 3 แล้ว
	การที่จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันโฆษณาชักชวน แนะนำ แจกจ่ายเอกสารต่าง ๆ ให้แก่โจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่และประชาชนทั่วไปให้นำเงินมาเปิดบัญชีลงทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยนกับบริษัท ป. และบริษัท ซ. โดยจำเลยทั้งสองกับพวกรับรองว่าการลงทุนจะได้ผลประโยชน์ตอบแทนสูงในอัตราร้อยละ 1 ต่อวัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้ ทั้ง ๆ ที่จำเลยทั้งสองกับพวกรู้อยู่ว่าบริษัททั้งสองดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และไม่ได้ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแต่อย่างใด อีกทั้งไม่สามารถประกอบกิจการใด ๆโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนพอเพียงที่จะนำมาจ่ายให้แก่โจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่และประชาชนทั่วไปในอัตราดังกล่าวได้ จนจำเลยทั้งสองกับพวกได้เงินไป จึงเข้ากรณีเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 4 (เดิม) แห่ง พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 ที่ใช้บังคับในขณะกระทำความผิด แม้ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นได้มี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 โดยให้ใช้ข้อความใหม่แทน แต่บทบัญญัติตามกฎหมายใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสอง จึงไม่นำมาปรับใช้แก่คดี
	การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 4 (เดิม) แล้ว จึงไม่จำต้องปรับบทตามมาตรา 5 อีก
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้  ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน  โดยเรียกจำเลยในสำนวนแรกว่า  จำเลยที่ ๑  และเรียกจำเลยในสำนวนหลังว่า  จำเลยที่ ๒
	โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องทั้งสองสำนวนมีข้อความทำนองเดียวกันขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๘๓,  ๙๑,  ๓๔๑,  ๓๔๓  พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน  พ.ศ.  ๒๕๒๗  มาตรา  ๓,  ๔,  ๕,  ๙,  ๑๒,  ๑๕ ให้จำเลยทั้งสองคืนต้นเงินที่กู้ยืมและฉ้อโกงไปให้แก่ผู้เสียหายที่ ๑  จำนวน  ๒๘๐,๐๐๐  บาท  ผู้เสียหายที่ ๒  จำนวน  ๑๐๘,๐๐๐  บาท  ผู้เสียหายที่ ๓  จำนวน  ๒๓๐,๐๐๐  บาท ผู้เสียหายที่ ๔  จำนวน  ๕,๑๑๐,๐๐๐  บาท  และผู้เสียหายที่ ๕  จำนวน  ๖๖๓,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ  ๗.๕  ต่อปี  และริบของกลาง
	จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
	ระหว่างพิจารณา  นางยุวาภรณ์  ผู้เสียหายที่ ๔  ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์  ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาฉ้อโกงประชาชน
	ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า  จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๓๔๓  วรรคแรก,  ๘๓  พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน  พ.ศ.  ๒๕๒๗  มาตรา  ๔  (ที่ถูก  มาตรา  ๔  (เดิม)),  ๕,  ๑๒  การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท  ให้ลงโทษตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน  พ.ศ.  ๒๕๒๗  มาตรา  ๔  (ที่ถูก  มาตรา ๔ เดิม)),  ๕,  ๑๒  ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๙๐  การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองซึ่งร่วมกับพวกกระทำต่อโจทก์ร่วมและผู้เสียหายรวม
๕  ราย  เป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกันรวม  ๕  กระทง  ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๙๑  ลงโทษจำคุกกระทงละ  ๕  ปี  เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว  คงจำคุกจำเลยทั้งสองมีกำหนดคนละ  ๒๐  ปี  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๙๑  (๒)  ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินหรือใช้เงินแก่นางนีรนุช  ๒๘๐,๐๐๐  บาท  นายสารฑูร  ๑๐๘,๐๐๐  บาท  นายศราวุธ  ๒๐๓,๐๐๐  บาท  นางยุวาภรณ์  ๕,๑๑๐,๐๐๐  บาท  และนายอนันตชัย  ๖๖๓,๐๐๐  บาท  คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
	จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
	ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า  ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินแก่นายศราวุธ  ๒๓๐,๐๐๐  บาท  นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
	จำเลยทั้งสองฎีกา
	ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า ระหว่างต้นเดือนธันวาคม  ๒๕๔๒  ถึงวันที่  ๕  มีนาคม  ๒๕๔๓  จำเลยทั้งสองกับพวกรวมมีจำนวนมากกว่า  ๕  คนขึ้นไป  ร่วมกันโฆษณา  ชักชวน  แนะนำ  แจกจ่ายเอกสารต่าง ๆ  ให้แก่โจทก์ร่วมกับผู้เสียหายที่ ๑  ที่ ๒  ที่ ๓  และที่ ๕  คือ  นางนีรนุช  นายสารฑูร  นายศราวุธ  นายอนันตชัย  ตามลำดับ และประชาชนทั่วไป จำนวนมากกว่า  ๑๐  คน  ให้นำเงินมาเปิดบัญชีลงทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยนกับบริษัทแปซิฟิค  สปีด  จำกัด  และบริษัทแปซิฟิค  โจนส์  (๒๐๐๐)  จำกัด  ซึ่งจำเลยทั้งสองอ้างว่าเป็นบริษัทในเครือของบริษัทไพร์มฮิลล์  กรุ๊ป  จำกัด  ตั้งอยู่ที่เมืองฮ่องกง  โดยรับรองว่าการลงทุนจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนสูงในอัตราร้อยละ ๑  ต่อวัน  มากกว่าดอกเบี้ยจากธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์ซึ่งเป็นสถาบันการเงินตามกฎหมาย  จะมีแต่ผลกำไร  ไม่มีการขาดทุน  จนโจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่และประชาชนทั่วไปหลงเชื่อคำโฆษณาหลอกลวง  ได้นำเงินเปิดบัญชีเข้าร่วมลงทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศกับบริษัททั้งสองดังกล่าว   โดยจำเลยทั้งสองกับพวกเป็นผู้ดำเนินการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแทนทั้งหมด  ต่อมาจำเลยทั้งสองกับพวกแจ้งว่าการซื้อขายดังกล่าวขาดทุน  โจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่จะต้องนำเงินมาลงทุนเพิ่มอีก  มิฉะนั้นจะไม่สามารถเคลื่อนไหวบัญชีการเงินของโจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่ได้  และจะไม่ได้รับเงินที่ลงทุนไปแล้วคืนมา  โจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่ต้องโอนเงินลงทุนเพิ่มให้แก่จำเลยทั้งสองกับพวกอีกหลายครั้ง  แต่ก็ประสบภาวะขาดทุนทั้งหมด  และไม่ได้รับเงินที่ลงทุนไปแล้วคืน  ตามความเป็นจริงแล้วบริษัททั้งสองดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ  และไม่ได้ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแต่อย่างใด  อีกทั้งไม่สามารถจ่ายผลประโยชน์ให้แก่โจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่และประชาชนทั่วไปได้  ส่วนบริษัทไพร์มฮิลล์  กรุ๊ป  จำกัด  ก็ปิดกิจการไปแล้ว  การกระทำดังกล่าวของจำเลยทั้งสองกับพวกได้ไปซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากโจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่และประชาชนทั่วไปและทำให้โจทก์ร่วมเสียหายเป็นเงิน  ๕,๑๑๐,๐๐๐  บาท  ผู้เสียหายที่ ๑  เสียหายเป็นเงิน  ๒๘๐,๐๐๐  บาท  ผู้เสียหายที่ ๒ เสียหายเป็นเงิน  ๑๐๘,๐๐๐  บาท  ผู้เสียหายที่ ๓  เสียหายเป็นเงิน  ๒๓๐,๐๐๐  บาท  และผู้เสียหายที่ ๕  เสียหายเป็นเงิน  ๖๖๓,๐๐๐  บาท
	คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๒  ประการแรกว่า  การรับเงินในฐานะตัวแทน  และการที่จำเลยทั้งสองมิได้เป็นตัวแทนบริษัทแปซิฟิค  สปีด  จำกัด  กับบริษัทแปซิฟิค  โจนส์  (๒๐๐๐)  จำกัด  อยู่ในความหมายของการกู้ยืมเงินตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน  พ.ศ.  ๒๕๒๗  มาตรา ๓  หรือไม่  เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองกับพวกได้ประกาศชักชวนโจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่และประชาชนทั่วไปให้นำเงินมาเปิดบัญชีลงทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยนกับบริษัทแปซิฟิค  สปีด  จำกัด  และบริษัทแปซิฟิค  โจนส์  (๒๐๐๐)  จำกัด  โดยรับรองว่าการลงทุนจะได้ผลประโยชน์ตอบแทนสูงในอัตราร้อยละ  ๑  ต่อวัน  มากกว่าดอกเบี้ยจาก
ธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์ซึ่งเป็นสถาบันการเงินตามกฎหมาย  จะมีแต่ผลกำไร ไม่มีการขาดทุน  จนโจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่และประชาชนทั่วไปหลงเชื่อคำโฆษณาหลอกลวงได้นำเงินมาเปิดบัญชีเข้าร่วมลงทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศกับบริษัททั้งสองดังกล่าว  โดยจำเลยทั้งสองกับพวกเป็นผู้ดำเนินการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแทนผู้ร่วมลงทุนทั้งหมด  ต่อมาจำเลยทั้งสองกับพวกแจ้งโจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่ว่าการซื้อขายดังกล่าวขาดทุน  โจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่จะต้องนำเงินมาลงทุนเพิ่มเติมอีก  มิฉะนั้นจะไม่สามารถเคลื่อนไหวทางบัญชีการเงินของโจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่ได้  ซึ่งจะเป็นผลให้ไม่ได้รับเงินที่ลงทุนไปแล้วคืน  โจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่จึงต้องโอนเงินลงทุนเพิ่มให้แก่จำเลยทั้งสองกับพวกอีกหลายครั้ง  แต่ก็ประสบภาวะขาดทุนทั้งหมด  และไม่ได้รับเงินที่ลงทุนไปแล้วคืน  ตามความเป็นจริงแล้วบริษัททั้งสองดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ  และไม่ได้ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแต่อย่างใด  ส่วนบริษัทไพร์มฮิลล์  กรุ๊ป  จำกัด  ก็ปิดกิจการไปแล้ว  โดยจำเลยทั้งสองกับพวกได้ไปซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากโจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่และประชาชนทั่วไป  การกระทำดังกล่าวของจำเลยทั้งสองกับพวกทำให้โจทก์ร่วมและผู้เสียหายทั้งสี่ได้รับความเสียหาย  เป็นการกู้ยืมเงินตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.  ๒๕๒๗  แล้ว  แม้จำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัททั้งสองดังกล่าว  แต่พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน  พ.ศ.  ๒๕๒๗  มาตรา ๓  บัญญัติว่า  ” ในพระราชกำหนดนี้  “ผู้กู้ยืมเงิน”  หมายความว่า  บุคคลผู้ทำการกู้ยืมเงิน  และในกรณีที่ผู้กู้ยืมเงินเป็นนิติบุคคล  ให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งลงนามในสัญญาหรือตราสารการกู้ยืมเงินในฐานะผู้แทนของนิติบุคคลนั้นด้วย ”  ถึงแม้ว่าพระราชกำหนดจะได้บัญญัติไว้ดังกล่าว  แต่การที่จำเลยทั้งสองได้ร่วมดำเนินกิจการกับบริษัททั้งสอง  และได้รับผลประโยชน์ตอบแทนถือได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกับบริษัททั้งสองดังกล่าวเป็นผู้กู้ยืมเงินด้วย  ทั้งนี้เพราะบุคคลธรรมดาอาจร่วมกับนิติบุคคลประกอบกิจการก็ได้  และเป็นผู้กู้ยืมเงินในความหมายของการกู้ยืมเงินตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน  พ.ศ.  ๒๕๒๗  มาตรา ๓  แล้ว  ฎีกาของจำเลยที่ ๒  ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
	คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการต่อไปว่า  การโฆษณา หรือประกาศ  หรือการกระทำใด ๆ  ให้ประชาชนนำเงินเข้ามาร่วมลงทุนลักษณะดังกล่าวตามฟ้องโจทก์  เป็นความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.  ๒๕๒๗  มาตรา ๔  แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน  พ.ศ.  ๒๕๒๗  (ฉบับที่ ๒)  พ.ศ.  ๒๕๔๕  ซึ่งมีผลย้อนหลังไปถึงการกระทำของจำเลยทั้งสองในคดีนี้หรือไม่  เห็นว่า  การที่จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันโฆษณาชักชวนโจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่และประชาชนทั่วไปให้นำเงินมาเปิดบัญชีลงทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยนกับบริษัทแปซิฟิค  สปีด  จำกัด  และบริษัทแปซิฟิค  โจนส์  (๒๐๐๐)  จำกัด  โดยจำเลยทั้งสองกับพวกอ้างว่าเป็นบริษัทในเครือของบริษัทไพร์มฮิลล์  กรุ๊ป  จำกัด  ตั้งอยู่ที่เมืองฮ่องกง  จำเลยทั้งสองกับพวกรับรองว่าการลงทุนจะได้ผลประโยชน์ตอบแทนสูงในอัตราร้อยละ  ๑  ต่อวัน  มากกว่าดอกเบี้ยจากธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์ซึ่งเป็นสถาบันการเงินตามกฎหมาย  และจะมีแต่ผลกำไร  ไม่มีการขาดทุน  จนโจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่และประชาชนทั่วไปหลงเชื่อคำโฆษณาหลอกลวง  ได้นำเงินเปิดบัญชีเข้าร่วมลงทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศกับบริษัททั้งสองดังกล่าว  ทั้ง ๆ  ที่จำเลยทั้งสองรู้อยู่ว่าบริษัททั้งสองดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและไม่ได้ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแต่อย่างใด  การกระทำของจำเลยทั้งสองกับพวกจึงเป็นการหลอกลวงโจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่และประชาชนทั่วไป  ไม่จำกัดว่าเป็นใครอันเป็นการหลอกลวงประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งโดยเจตนาทุจริต  ทำให้โจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่และประชาชนทั่วไปหลงเชื่อคำโฆษณาหลอกลวงของจำเลยทั้งสองกับพวก  ได้นำเงินเปิดบัญชีเข้าร่วมลงทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศกับบริษัททั้งสองดังกล่าว  การกระทำดังกล่าวของจำเลยทั้งสองกับพวกได้ไปซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากโจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่และประชาชนทั่วไป  จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ
ต่อประชาชน  หรือด้วยการปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๓๔๓  วรรคแรก,  ๘๓  และการที่จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันโฆษณาชักชวน  แนะนำ  แจกจ่ายเอกสารต่าง ๆ  ให้แก่โจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่และประชาชนทั่วไปให้นำเงินมาเปิดบัญชีลงทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยนกับบริษัทแปซิฟิค  สปีด  จำกัด  และบริษัทแปซิฟิค  โจนส์  (๒๐๐๐)  จำกัด  โดยจำเลยทั้งสองกับพวกรับรองว่าการลงทุนจะได้ผลประโยชน์ตอบแทนสูงในอัตราร้อยละ  ๑  ต่อวัน  ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้  ทั้ง ๆ  ที่จำเลยทั้งสองกับพวกรู้อยู่ว่าบริษัททั้งสองดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ  และไม่ได้ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแต่อย่างใด  อีกทั้งไม่สามารถประกอบกิจการใด ๆ โดยชอบด้วยกฎหมายที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนพอเพียงที่จะนำมาจ่ายให้แก่โจทก์ร่วมกับผู้เสียหายทั้งสี่และประชาชนทั่วไปในอัตราดังกล่าวได้จนจำเลยทั้งสองกับพวกได้เงินไป จึงเข้ากรณีเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา ๔  (เดิม)  แห่งพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน  พ.ศ.  ๒๕๒๗  ที่ใช้บังคับในขณะกระทำความผิดด้วย  แม้ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน  พ.ศ.  ๒๕๒๗  (ฉบับที่ ๒)  พ.ศ.  ๒๕๔๕  มาตรา ๓  ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔  แห่งพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน  พ.ศ.  ๒๕๒๗ โดยให้ใช้ข้อความใหม่แทน  แต่บทบัญญัติตามกฎหมายใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสอง  จึงไม่นำมาปรับใช้แก่คดี  และไม่มีปัญหาให้ต้องวินิจฉัยว่ากฎหมายใหม่มีผลย้อนหลังไปถึงการกระทำของจำเลยทั้งสองตามที่จำเลยทั้งสองฎีกาหรือไม่  ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น…
	อนึ่ง  เมื่อการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน  พ.ศ.  ๒๕๒๗  มาตรา  ๔  (เดิม)  แล้ว  จึงไม่ต้องปรับเป็นความผิดตามมาตรา ๕  อีก  เพราะการกระทำของจำเลยทั้งสองอันเป็นความผิดตามมาตรา ๕  รวมอยู่ในความผิดตามมาตรา  ๔  (เดิม)  ซึ่งเป็นบทหลักแล้ว  กรณีเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย  ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  ๑๙๕  วรรคสอง  ประกอบมาตรา  ๒๒๕  โดยเห็นควรปรับบทให้ถูกต้อง
	พิพากษาแก้เป็นว่า  ไม่ปรับบทความผิดของจำเลยทั้งสองตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน  พ.ศ.  ๒๕๒๗  มาตรา ๕  นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
