แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์ โจทก์สลักหลังจำนำตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวให้แก่จำเลยไว้เพื่อประกันหนี้ค่าซื้อหุ้นที่ อ.และพ. สั่งให้จำเลยซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และปรากฏว่า อ.และพ. ยังเป็นหนี้ค่าซื้อขายหุ้นอยู่อีก โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกตั๋วสัญญาใช้เงินคืนจากจำเลยหรือเรียกร้องให้จำเลยใช้เงินตามตั๋วนั้น.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวนเงิน1,170,000 บาทซึ่งจำเลยเป็นผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวเมื่อถึงกำหนด โจทก์ได้ขอรับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นจำเลยเพิกเฉยจึงขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าโจทก์ได้จำนำสลักหลังตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทและส่งมอบให้แก่จำเลยเพื่อเป็นประกันการชำระเงินตามบัญชีหลักทรัพย์ของนายอรัญ ตันธนะศิริวงศ์และนางสาวพรรณี อภิวงศ์ซึ่งบุคคลทั้งสองได้เปิดไว้กับจำเลย เนื่องจากบุคคลทั้งสองได้มอบให้จำเลยซื้อขายหลักทรัพย์แทนบุคคลทั้งสองเป็นหนี้ค่าหุ้นที่สั่งให้จำเลยซื้อขายโดยเป็นหนี้จำเลยอยู่จำนวนมาก จำเลยจึงดำเนินการบังคับจำนำและหักกลบลบหนี้เอาจากตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทหมดสิ้นไปแล้ว ไม่มีเงินเหลือคืนให้โจทก์อีก
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยได้สลักหลังจำนำตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับพิพาทให้แก่จำเลยไว้ เพื่อประกันหนี้ค่าซื้อขายหุ้นที่นายอรัญและนางสาวพรรณีสั่งให้จำเลยซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและปรากฏว่านายอรัญและนางสาวพรรณียังเป็นหนี้ค่าซื้อขายหุ้นอยู่อีกเช่นนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกตั๋วสัญญาใช้เงินคืนไปจากจำเลยหรือเรียกร้องให้จำเลยใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น
พิพากษายืน.