แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เมื่อประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2477 บรรพ 5 และบรรพ 6 แล้ว แม้จะมีบทบัญญัติมาตรา 1586 บัญญัติว่า “บุตรบุญธรรมย่อมมีฐานะอย่างเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรม ฯลฯ” และมาตรา 1627บัญญัติไว้ด้วยว่า “…..บุตรบุญธรรมให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายนี้” ก็ตาม แต่บุตรบุญธรรมในบทบัญญัติดังกล่าวหมายความเฉพาะบุตรบุญธรรมที่จดทะเบียนเป็นบุตรบุญธรรมตามมาตรา 1585 เท่านั้น
ผู้ตายรับผู้คัดค้านที่ 1 มาเลี้ยงอย่างบุตรบุญธรรมทั้งไปแจ้งต่อกำนันว่าผู้คัดค้านที่ 1 เกิดเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2498 เป็นบุตร แม้จะกระทำก่อนพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 แต่ก็ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 ทั้งการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขในพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478โดยผู้รับบุตรบุญธรรมต้องขอต่อนายทะเบียนเพื่อขอให้จดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478ประกอบกฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัวพ.ศ. 2478 ข้อ 2 วรรคสอง ดังนั้น การที่ผู้ตายกับผู้คัดค้านที่ 2 แจ้งการเกิดของผู้คัดค้านที่ 1 ว่าเป็นบุตร จึงมิใช่เป็นการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมตามกฎหมายผู้คัดค้านที่ 1 จึงมิใช่ทายาทหรือเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการจะร้องต่อศาลขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนางทองห่อ สิงห์ทน เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2540 นางทองห่อได้ถึงแก่กรรมด้วยสาเหตุหัวใจวาย ก่อนถึงแก่กรรมผู้ตายมิได้ทำพินัยกรรมและหรือจัดตั้งผู้จัดการมรดกไว้ และมีทรัพย์สินตกทอดเป็นมรดก ได้แก่ ที่ดินและรถยนต์ ทายาทของผู้ตายไปติดต่อกับทางราชการเพื่อขอจัดการทรัพย์มรดกดังกล่าว แต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถดำเนินการให้ได้ ขอให้มีคำสั่งตั้งนายชาญศักดิ์ บุญมีเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นบุตรของผู้ตาย ขอให้ยกคำร้องขอหรือมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้ร้อง
ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ขอให้ยกคำร้องขอและมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของนางทองห่อ สิงห์ทนผู้ตาย และให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 1
ผู้คัดค้านที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านรับฟังเป็นยุติว่า นางทองห่อ สิงห์ทน ผู้ตายกับผู้คัดค้านที่ 2 เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน จึงรับผู้คัดค้านที่ 1 มาเลี้ยงดูตั้งแต่เด็ก รวมทั้งแจ้งต่อกำนันตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี ระบุว่าผู้คัดค้านที่ 1 เกิดเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2498 เป็นบุตรของบุคคลทั้งสองตามสำเนาสูติบัตรเอกสารหมาย ค.7 นางทองห่อถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2540 ตามมรณบัตรเอกสารหมาย ค.9 หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2541 ผู้คัดค้านที่ 2 ได้จดทะเบียนรับผู้คัดค้านที่ 1 เป็นบุตรบุญธรรมตามทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมเอกสารหมาย ร.18 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 มีว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นบุตรบุญธรรมของผู้ตายตามกฎหมายในอันที่จะร้องต่อศาลให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหรือไม่ โดยผู้คัดค้านที่ 1ฎีกาว่า ผู้ตายนำผู้คัดค้านที่ 1 มาเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรมก่อนที่พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 จะใช้บังคับ จึงนำมาตรา 1585 (มาตรา 1598/27 ปัจจุบัน) มาใช้บังคับไม่ได้แม้เจ้ามรดกซึ่งเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมมิได้จดทะเบียนรับผู้คัดค้านที่ 1 เป็นบุตรบุญธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1585 (มาตรา 1598/27 ปัจจุบัน) ผู้คัดค้านที่ 1 ก็ยังคงเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยมีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตาย เห็นว่า เมื่อประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2477 บรรพ 5 และบรรพ 6 แล้ว แม้จะมีบทบัญญัติมาตรา 1586 บัญญัติว่า “บุตรบุญธรรมย่อมมีฐานะอย่างเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรม ฯลฯ” และมาตรา 1627 บัญญัติไว้ด้วยว่า “….บุตรบุญธรรมให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายนี้” ก็ตาม แต่บุตรบุญธรรมในบทบัญญัติดังกล่าวก็หมายความเฉพาะบุตรบุญธรรมที่จดทะเบียนเป็นบุตรบุญธรรมตามมาตรา 1585 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เท่านั้น การที่ผู้ตายรับผู้คัดค้านที่ 1 มาเลี้ยงอย่างบุตรบุญธรรมทั้งไปแจ้งต่อกำนันว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เกิดเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2498 เป็นบุตรแม้จะกระทำก่อนพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 แต่ก็ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 ทั้งการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมนั้นจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขในพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478 โดยผู้รับบุตรบุญธรรมต้องร้องขอต่อนายทะเบียนเพื่อขอให้จดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม ซึ่งนายทะเบียนผู้มีอำนาจหน้าที่ในการจดทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมคือ ฯลฯ ผู้อำนวยการเขต นายอำเภอ หรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478 ประกอบกฎกระทรวงมหาดไทย ออกตามความในพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478 ข้อ 2 วรรคสอง ดังนั้น การที่ผู้ตายกับผู้คัดค้านที่ 2 แจ้งการเกิดของผู้คัดค้านที่ 1 ว่าเป็นบุตรต่อกำนันตำบลโคกปีบ จึงมิใช่เป็นการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมตามกฎหมาย อันจะถือว่าผู้คัดค้านที่ 1 เป็นบุตรบุญธรรมของผู้ตาย ผู้คัดค้านที่ 1 จึงมิใช่ทายาทหรือเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการจะร้องต่อศาลขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 วรรคหนึ่ง สำหรับปัญหาตามที่ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกาอ้างว่าได้จัดการทรัพย์สินและครอบครองทรัพย์สินร่วมกับผู้ตายทำนองว่ามีกรรมสิทธิ์ร่วมนั้นเห็นว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ได้ตั้งประเด็นดังกล่าวไว้ในคำคัดค้านเพิ่งมากล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวให้ ก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคหนึ่ง จึงถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยยกคำร้องขอของผู้คัดค้านที่ 1 มานั้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน