แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งหกได้ใช้รถไถและรถแทรกเตอร์ไถดินบนทางพิพาทอันเป็นทางสาธารณะซึ่งมีความกว้าง 10 เมตร ทางใต้ของที่ดินโจทก์ รอยไถมีความกว้าง6 เมตร ต้นไม้ที่ถูกไถล้มลงก็อยู่ในทางพิพาท พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยทั้งหกได้กระทำความผิด โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งหกร่วมกันไถคันดินและโค่นต้นไม้ในที่ดินของโจทก์ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งหกร่วมกันนำเครื่องจักรไถทางและต้นไม้ริมทางเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหก เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา83, 91, 358, 362, 365 และขอให้จำเลยทั้งหกร่วมกันใช้ราคาทรัพย์เป็นจำนวน 20,000 บาท แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องคดีส่วนอาญาแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ และให้การคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยที่ 1ร่วมกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ซึ่งเป็นคณะกรรมการหมู่บ้านแผ้วถางบูรณะทางสาธารณะซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของที่ดินโจทก์เฉพาะภายในเขตทางสาธารณะนั้น และมิได้บุกรุกเข้าไปทำให้ต้นไม้ในแนวเขตที่ดินของโจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์เฉพาะคดีส่วนอาญา
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อุทธรณ์ของโจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัย และพิพากษายืนในความผิดฐานบุกรุก
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อ 2.1
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งหกได้ใช้รถไถและรถแทรกเตอร์ไถดินบนทางพิพาทอันเป็นทางสาธารณะ ซึ่งมีความกว้าง 10 เมตรทางทิศใต้ของที่ดินโจทก์ รอยไถมีความกว้าง 6 เมตร ต้นไม้ที่ถูกไถล้มลงก็อยู่ในทางพิพาท พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่า จำเลยทั้งหกได้กระทำความผิด โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งหกร่วมกันไถคันดินและโค่นต้นไม้ในที่ดินของโจทก์ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยชอบแล้ว โจทก์ฎีกาในข้อ 2.1 ว่าจำเลยทั้งหกร่วมกันนำเครื่องจักรไถทางและต้นไม้ริมทางเข้าไปในที่ดินโจทก์ ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหก เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัย จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์