แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์ทั้งสามในคดีนี้ แต่จำเลยที่ 1 ได้ฟ้องโจทก์ทั้งสามเป็นคดีละเมิดเรียกค่าเสียหายอีกคดีหนึ่งของศาลชั้นต้น และขอวิธีการชั่วคราวนั้นเป็นการใช้สิทธิทางศาลตามปกติส่วนจำเลยที่ 1 ขอให้งดการบังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 ไว้ก่อน โดยอ้างหลักเกณฑ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 293 วรรคแรกถือว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีตามปกติ ยังไม่มีเหตุที่จะถือว่าจำเลยที่ 1 จงใจประวิงการบังคับคดีให้ล่าช้า และศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีที่จำเลยที่ 1 ฟ้องใหม่กับคดีเดิมเป็นคดีที่สืบเนื่องกันมิใช่เป็นการฟ้องคดีเรื่องอื่น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 293 วรรคแรก ไม่เป็นการขอให้งดการบังคับคดีได้ และมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยที่ 1 นำเงินที่จะต้องชำระแก่โจทก์ในคดีนี้ไปวางต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี เมื่อโจทก์ทั้งสามขอรับเงินที่วางจำเลยที่ 1 แถลงคัดค้านมิให้จ่ายโดยอ้างว่าหากจ่ายไปจำเลยที่ 1 ชนะคดีจะทำให้ไม่สามารถหักกลบลบหนี้ได้นั้นก็ไม่มีความสำคัญในทางคดี กรณีเพียงจำเลยที่ 1 พยายามดำเนินกระบวนพิจารณาไปในทางรักษาผลประโยชน์ตนอย่างจริงจัง แต่ไม่ถึงขั้นที่จะถือว่าเป็นการใช้สิทธิที่มีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามอันจะถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิด.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นผู้ร่วมกันประกอบธุรกิจจัดสรรที่ดินและสร้างบ้านขาย ใช้ชื่อว่า โครงการหมู่บ้านดีสมโภช เดิมจำเลยที่ 1 ได้ฟ้องโจทก์ทั้งสามเพื่อบังคับหนี้จำนองเป็นเงิน 21,453,674.85 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย โจทก์ทั้งสามให้การและฟ้องแย้งให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน120,716,873.96 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย คดีดังกล่าวศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์ทั้งสามเป็นเงิน 18,135,697.16 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย และให้จำเลยที่ 1จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินตามฟ้องทั้งหมด ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2923/2525 ซึ่งอยู่ในสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 4198/2523 ของศาลชั้นต้น เมื่อระหว่างวันที่ 23 ธันวาคม 2525 ตลอดมาจนถึงวันฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ในฐานะผู้แทนของบริษัทจำเลยที่ 1 ในขณะนั้นและในฐานะส่วนตัวได้ร่วมกันจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้านแรงทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม กล่าวคือจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ได้ร่วมกันลงมติให้จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ทั้งสามต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีหมายเลขดำที่ 15336/2525 จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาและคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวโดยเหตุฉุกเฉิน ขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดเงินจำนวน28,432,719.45 บาท หรืออนุญาตให้จำเลยที่ 1 ไม่ต้องนำเงินดังกล่าวมาชำระให้โจทก์ทั้งสามตามคำพิพากษาศาลฎีกา ขอให้อายัดที่ดินของโจทก์ทั้งสาม รวมทั้งห้ามโจทก์ทั้งสามทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดิน รวม 413 โฉนด เนื้อที่ดินรวมประมาณ 96 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินทั้งหมดในโครงการจัดสรรหมู่บ้านดีสมโชค ที่โจทก์ทั้งสามใช้ประกอบธุรกิจในการจัดสรรที่ดินและสร้างบ้านขาย และเป็นที่ดินที่จำเลยที่ 1 จะต้องจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองให้แก่โจทก์ทั้งสามตามคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 รู้ดีอยู่แล้วว่าขณะนั้น จำเลยที่ 1ยังมิได้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินทั้ง 413 โฉนด ให้แก่โจทก์ทั้งสามตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้ว กลับอ้างเหตุบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยจำเลยที่ 1 นำพยานเข้าสืบในวันยื่นคำร้องว่าสิทธิเรียกร้องตามคำฟ้องของจำเลยที่ 1 มีมูลเหตุสมควรตามกฎหมายที่จะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนศาลพิพากษาได้ โดยนำสืบว่าพฤติการณ์ของโจทก์ทั้งสามได้มีการตระเตรียมที่จะจำหน่ายจ่ายโอนที่ดินในวันจันทร์ที่จะถึง เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นหลงไปว่าสิทธิของจำเลยที่ 1 มีเหตุอันสมควรและเพียงพอที่จะคุ้มครองชั่วคราวก่อนศาลพิพากษา และมีคำสั่งในวันเดียวกันนั้นให้อายัดที่ดิน 413 โฉนดกับห้ามโจทก์ทั้งสามทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวการกระทำของจำเลยที่ 1 ได้กระทำโดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 เป็นผู้ลงมติให้ดำเนินการและช่วยเหลือส่งเสริมในการทำละเมิดซึ่งเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสามโดยไม่สุจริต ต่อมาจำเลยที่ 1 โดยการลงมติของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8ได้ยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4198/2523ไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(2) และ 293เพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสามมิให้ได้รับเงินจำนวน 28,691,802.68 บาทเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รอการจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวไว้จำเลยที่ 1 กระทำเพื่อมิให้โจทก์ทั้งสามนำเงินไปประกอบธุรกิจจัดสรรที่ดินและสร้างบ้านขาย และเพื่อมิให้โจทก์นำเงินไปชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่เจ้าหนี้รายอื่นซึ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 รู้ดีอยู่แล้วว่าโจทก์ทั้งสามเป็นหนี้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอื่นอยู่ จะต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่เจ้าหนี้เหล่านั้น จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 ใช้สิทธิเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสามซึ่งมีแต่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามฝ่ายเดียวเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามทำให้เกิดความเสียหาย คือ โจทก์ทั้งสามไม่สามารถนำที่ดิน413 โฉนดในหมู่บ้านดีสมโชคไปประกอบธุรกิจจัดสรรที่ดินและสร้างบ้านขายได้ เป็นค่าเสียหายถึงวันฟ้องเป็นเงิน 30,000,000 บาทและค่าเสียหายอีกเดือนละ 2,500,000 บาท จนกว่าจำเลยที่ 1 จะจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและโจทก์ทั้งสามมีสิทธิทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินทั้ง 413 โฉนดได้ โจทก์ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินที่สร้างเสร็จและมีผู้ซื้อแล้วทั้ง 21 ราย ให้ผู้ซื้อได้ ทำให้ผู้ซื้อบ้านและที่ดินอยู่ในบ้านและที่ดินโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทนทำให้โจทก์ขาดรายได้ค่าเช่าคำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 828,000 บาทต่อไปอีกเดือนะล 69,000 บาท การที่โจทก์ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้าน 21 หลังให้ผู้ซื้อนั้นทำให้โจทก์ขาดความเชื่อถือเครดิตทางการค้าและส่วนตัวของโจทก์ลดลงไปทำให้โจทก์พลาดโอกาสที่จะจัดหาผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทำให้ธุรกิจของโจทก์ขาดตอนไม่สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการประเภทเดียวกันได้ ค่าเสียหายส่วนนี้ของโจทก์คิดเป็นเงิน 110,000,000 บาท การที่โจทก์ไม่สามารถรับเงินจำนวน 28,691,802.68 บาท ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์จากเงินจำนวนนี้เป็นเงิน 1,320,609.77 บาท โจทก์ต้องเสียดอกเบี้ยเพิ่มให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอีกเป็นเงิน 197,715.07 บาท รวมค่าเสียหายทั้งหมดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 142,346,324.84 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งแปดร่วมกันำชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสาม ให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์ในการประกอบธุรกิจเป็นรายเดือนเดือนละ 2,500,000 บาท ค่าเสียหายจากการไม่ได้รับค่าเช่าเดือนละ69,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะจดทะเบียนไถ่ถอนจำนอง และขอถอนคำร้องที่ขอให้ศาลสั่งอายัดที่ดินทั้ง 413 โฉนดและร่วมกันชำระดอกเบี้ยจากต้นเงิน 111,518,324.84 บาท
จำเลยที่ 1 ให้การว่า การที่จำเลยที่ 1 ได้ยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสามเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 15336/2525 การยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาและคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวเป็นกรณีฉุกเฉิน รวมทั้งการยื่นคำร้องขอให้มีการงดการบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4198/2523 นั้น เป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริตภายใต้ขอบเขตของกฎหมายที่จำเลยที่ 1 มีสิทธิกระทำได้โดยชอบไม่ได้มีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความเสียหายให้โจทก์ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามที่กล่าวในคำฟ้อง คำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุม
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 กระทำในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1เป็นส่วนตัว การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริต โจทก์ไม่เสียหายตามฟ้อง คำฟ้องของโจทก์ส่วนที่เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุม
จำเลยที่ 4 ถึงที่ 8 ให้การทำนองเดียวกันว่า ไม่ได้ลงมติให้จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์และของดการบังคับคดีตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องจำเลยที่ 4 ถึงที่ 8 เป็นเพียงกรรมการของจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริต โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ที่ 2 ถึงแก่กรรมศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ที่ 1 และที่ 3 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ที่ 2
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่นำสืบรับกันและที่ไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้ฟ้องโจทก์ทั้งสามบังคับให้ชำระหนี้จำนอง โจทก์ทั้งสามให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้งในที่สุดศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องและให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์ทั้งสาม 18,135,697.16 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อไปนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 1จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสาม รวม 413 โฉนด กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสามโดยกำหนดค่าทนายความในศาลชั้นต้น 1 ล้านบาท ในชั้นศาลอุทธรณ์และฎีกาอีก 1 ล้านบาทปรากฏตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2923/2525 ในสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 4198/2523 ของศาลชั้นต้น ก่อนที่ระยะเวลาที่ศาลกำหนดไว้ให้ปฏิบัติตามคำบังคับจะล่วงพ้นไป จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3กรรมการผู้มีอำนาจได้นำเอกสารหมาย ล.41 ในคดีหมายเลขแดงที่4198/2523 ของศาลชั้นต้นไปฟ้องโจทก์ทั้งสามต่อศาลอาญาในข้อหานำสืบและแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ กับเบิกความเท็จ ปรากฏตามคดีหมายเลขดำที่ 17361/2525 ของศาลอาญา ซึ่งเอกสารฉบับนี้เป็นพยานหลักฐานที่ศาลฎีการับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นแล้วเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวนั้นเป็นฝ่ายผิดสัญญา และพิพากษาให้จำเลยที่ 1 แพ้คดี นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังได้นำมูลกรณีที่กล่าวหาในคดีอาญานั้นมาฟ้องโจทก์ทั้งสามเป็นคดีแพ่งในข้อหาละเมิดต่อศาลชั้นต้น และยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษากับขอให้ไต่สวนฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 23 และวันที่ 24 ธันวาคม 2525ตามลำดับ ซึ่งศาลชั้นต้นได้ทำการไต่สวนและมีคำสั่งห้ามมิให้โจทก์ทั้งสามทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินของโจทก์จำนวน 413 โฉนดปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 15336/2525 หมายเลขแดงที่17561/2527 ของศาลชั้นต้น และเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2526 จำเลยที่ 1ได้ยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีหมายเลขแดงที่ 4198/2523 ของศาลชั้นต้น โดยอ้างว่าเนื่องจากจำเลยที่ 1 ได้ฟ้องโจทก์ทั้งสามเป็นคดีหมายเลขดำที่ 15336/2525ไว้แล้ว หากจำเลยที่ 1 ชนะคดีก็จะได้หักกลบลบหนี้กับโจทก์ทั้งสามได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยที่ 1 ได้นำเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลฎีกามาวางต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี แล้วยื่นอุทธรณ์คำสั่งพร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นสั่งให้รอการจ่ายเงินไว้ก่อน ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้รอการจ่ายเงินไว้ก่อนต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของดการบังคับคดี ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสามรับเงินไปจากเจ้าพนักงานบังคับคดี เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2526 สำหรับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 17361/2525 ของศาลอาญานั้น เมื่อคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาสืบพยานโจทก์ โจทก์ได้ขอถอนฟ้อง ศาลอาญามีคำสั่งอนุญาตตามขอ…
คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามว่า การกระทำของจำเลยที่ 1เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามหรือไม่ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ได้ร่วมกระทำละเมิดหรือไม่ และโจทก์ควรได้รับชดใช้ค่าเสียหายเพียงใดหรือไม่
ในปัญหาข้อแรกที่ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามหรือไม่นั้น โจทก์นำสืบว่าการที่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ทั้งสามต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีหมายเลขดำที่ 15336/2525 เป็นการนำเอาเอกสารที่ศาลฎีกาวินิจฉัยมาแล้วว่าเป็นเอกสารที่มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าถูกต้องตรงตามความจริงมาฟ้องว่าเป็นเอกสารเท็จ และกล่าวหาว่าโจทก์ทั้งสามนำพยานหลักฐานเท็จ จำเลยที่ 1 ไม่มีทางนำสืบให้ชนะคดีได้ ข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลฎีกาวินิจฉัยเชื่อพยานบุคคลและพยานเอกสารของโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 4198/2523 ของศาลชั้นต้นนั้น เป็นเรื่องของการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานซึ่งศาลฎีกาอาจใช้ดุลพินิจได้ตามที่เห็นว่าเป็นการถูกต้องและชอบธรรม หากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่ความไม่เห็นพ้องด้วย โดยเห็นว่าคำเบิกความของพยานเป็นเท็จหรือเอกสารที่คู่กรณีนำสืบเป็นเอกสารปลอมหรือเอกสารเท็จ จำเลยที่ 1 ก็อาจฟ้องโจทก์ทั้งสามและพยานต่อศาลเป็นคดีอาญาหรือคดีแพ่งได้สุดแท้แต่รูปเรื่อง หามีกฎหมายห้ามไม่ แต่จำเลยที่ 1 จะสามารถนำสืบข้อเท็จจริงให้ฟังได้ตามฟ้องหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ทั้งสามเป็นคดีแพ่งตามคดีหมายเลขดำที่ 15336/2525 ของศาลชั้นต้นนั้น จึงเป็นการใช้สิทธิทางศาลตามปกติและโดยที่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า การใช้สิทธิทางศาลของจำเลยที่ 1 นี้เป็นการกระทำที่ไม่สุจริตเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา และขอให้ไต่สวนฉุกเฉินซึ่งศาลชั้นต้นได้ทำการไต่สวนและมีคำสั่งให้ใช้วิธีการชั่วคราวโดยห้ามโจทก์ทั้งสามมิให้ทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินของโจทก์รวม413 โฉนด ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาเอกสารหมาย จ.19 นั้น ก็เห็นได้ว่าเป็นการใช้สิทธิทางศาลตามปกติเช่นเดียวกัน หากโจทก์ทั้งสามเห็นว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นในกรณีดังกล่าวเกิดจากศาลหลงเชื่อคำพยานเท็จไม่มีเหตุผลเพียงพอ หรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ก็ชอบที่จะมีคำขอต่อศาลนั้นให้ถอนคำสั่งนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 261 หรือมาตรา 262 แต่โจทก์ทั้งสามก็ไม่ดำเนินการตามบทกฎหมายดังกล่าวแต่อย่างใด อนึ่งคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวมีข้อความปรากฏอยู่แล้วว่า ห้ามโจทก์ทั้งสามมิให้กระทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินของโจทก์จำนวน413 โฉนด เท่านั้นหาได้ห้ามจำเลยที่ 1 มิให้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองให้แก่โจทก์ทั้งสามไม่ ในคดีหมายเลขแดงที่ 4198/2523 ของศาลชั้นต้นโจทก์ทั้งสามก็เคยขอให้ศาลออกหนังสือแจ้งเจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองให้โจทก์โดยขอถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ตามคำร้องเอกสารหมาย จ.54 จ.55 และ จ.56 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าในคดีอมายเลขดำที่ 15336/2525 ของศาลชั้นต้นได้สั่งไว้แล้วว่าห้ามทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดิน 413 โฉนดนั้น จึงไม่ออกหนังสือให้ ดังปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาเอกสารหมาย จ.57 อันเป็นคำสั่งที่หลงผิด โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้หรือจะยื่นคำร้องในคดีหมายเลขดำที่ 15336/2525 ขอให้ศาลแปลความคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเพื่อยืนยันให้แน่ชัดว่า มิได้ห้ามจำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินให้แก่โจทก์ แล้วนำไปขอให้ศาลดำเนินการแจ้งเจ้าพนักงานที่ดินให้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองในคดีหมายเลขแดงที่ 4198/2523 ของศาลชั้นต้นก็ได้ แต่โจทก์ทั้งสามก็หาได้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวนั้นไม่ ที่ดิน 413โฉนด ของโจทก์จึงยังไม่มีการจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองตามคำพิพากษาศาลฎีกาจนกระทั่งบัดนี้ โจทก์เองจึงมีส่วนทำให้การบังคับคดีในส่วนนี้ต้องล่าช้า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่ได้ความว่าคำพยานชั้นไต่สวนคำขอฉุกเฉินของจำเลยที่ 1 เป็นเท็จ และการยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของจำเลยที่ 1 เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตอย่างไร ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ 4198/2523 ของศาลชั้นต้นนั้น ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีเหตุผลคือ จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์ทั้งสามตามคำพิพากษาศาลฎีกา จำนวน 18 ล้านบาทเศษพร้อมด้วยดอกเบี้ย แต่จำเลยที่ 1ได้ฟ้องโจทก์ทั้งสามเป็นคดีละเมิดเรียกค่าเสียหาย 188 ล้านบาทเศษตามคดีหมายเลขดำที่ 15336/2525 ของศาลชั้นต้น หากจำเลยที่ 1 ชนะคดีก็จะได้หักกลบลบหนี้กับโจทก์ทั้งสามได้ จึงขอให้งดการบังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 ไว้ก่อนปรากฏตามเอกสารหมาย ล.30 ดังนี้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ขอให้งดการบังคับคดีโดยอ้างหลักเกณธ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293วรรคแรก ซึ่งอาจเนื่องจากจำเลยที่ 1 มีความเห็นโดยสุจริตว่าเป็นกรณีที่ปรับได้ด้วยบทบัญญัติดังกล่าวจึงถือว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีตามปกติ ยังไม่มีเหตุที่จะถือว่าจำเลยที่ 1 จงใจประวิงการบังคับให้ล่าช้า และเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีที่จำเลยที่ 1 ฟ้องใหม่กับคดีเดิมเป็นคดีที่สืบเนื่องกันซึ่งได้ฟังพยานและวินิจฉัยไปแล้ว มิใช่เป็นการฟ้องคดีเรื่องอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 283วรรคแรกไม่เป็นกรณีที่จะขอให้งดการบังคับคดีได้และมีคำสั่งให้ยกคำร้องตามเอกสารหมาย จ.35 หรือ ล.30 แผ่นที่ 9 ถึง 10 แล้ว จำเลยที่ 1 ก็นำเงินที่จะต้องชำระแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลฏีกาไปวางต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ปรากฏตามใบรับเงินเอกสารหมาย ล.29 แสดงถึงความสุจริตใจของจำเลยที่ 1 ในการดำเนินคดี ส่วนข้อที่ปรากฏว่าเมื่อโจทก์ทั้งสามของรับเงินที่วาง จำเลยที่ 1 ได้แถลงคัดค้านมิให้จ่ายโดยอ้างว่า หากจ่ายไปแล้วเมื่อจำเลยที่ 1 ชนะคดีจะทำให้ไม่สามารถหักกลบลบหนี้ได้นั้น เห็นว่าคำแถลงคัดค้านดังกล่าวไม่มีความสำคัญในทางคดีแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้ว่าต่อมาศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ทั้งสามรับเงินไปได้โดยให้หักจำนวนเงินที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีอื่นของโจทก์ทั้งสามขออายัดไว้ออกเสียก่อน ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2526เอกสารหมาย จ.62 ดังนี้เห็นว่า ที่โจทก์นำสืบอ้างว่าจำเลยที่ 1ใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริตและกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสามจึงมีน้ำหนักน้อย พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้เพียงว่า จำเลยที่ 1 พยายามดำเนินกระบวนพิจารณาไปในทางรักษาผลประโยชน์ตนอย่างจริงจังแต่ไม่เข้าขั้นที่จะถือเป็นการใช้สิทธิที่มีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสาม อันจะถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิด ข้อเท็จจริงดังกล่าวสอดคล้องกับคำพยานจำเลยที่นำสืบว่าจำเลยที่ 1 ใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริตไม่มีเจตนาจะทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย… เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นละเมิดแล้ว ปัญหาต่อไปที่ว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ได้ร่วมกระทำละเมิดหรือไม่ และโจทก์ละเมิดแล้ว ปัญหาต่อไปที่ว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ได้ร่วมกระทำละเมิดหรือไม่ และโจทก์ควรได้รับชดใช้ค่าเสียหายเพียงใดหรือไม่ ก็ไม่จำต้องวินิจฉัย”
พิพากษายืน.