คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3353/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นโดยใช้เหล็กแป๊ปขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ยาวประมาณ 1 ฟุตครึ่งตีทำร้ายจำเลยก่อนและจะตีซ้ำอีก จำเลยย่อมมีสิทธิป้องกันตัวให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยจะต้องหลบหนีผู้ตาย การที่จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตายไป 1 ทีเพื่อหยุดยั้งการกระทำของผู้ตายและบังเอิญมีดไปถูกอวัยวะสำคัญทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เช่นนี้ ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยพอสมควรแก่เหตุ เป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ริบมีดปลายแหลมของกลาง ส่วนของกลางอื่นคืนแก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69 จำคุก 6 ปี ข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 4 ปีริบมีดปลายแหลมของกลาง ส่วนของกลางอื่นคืนเจ้าของ ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ คืนของกลางทั้งหมดแก่เจ้าของ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยใช้มีดปลายแหลมของกลางแทงนายจรวย ชุ่มชื่นจิตร ที่ชายโครงขวาถึงแก่ความตาย บาดแผลปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพของแพทย์และเจ้าพนักงานท้ายฟ้อง ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ คดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นในขณะเกิดเหตุมีแต่พยานแวดล้อม กรณีใกล้ชิดกับเวลาเกิดเหตุคือนางนงเยาว์ ชุ่มชื่นจิตร และนางยุพิน ชุ่มชื่นจิตรโดยนางนงเยาว์ เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุอยู่ที่บ้านนางเล็กคุยกับนางเล็กห่างจากบ้านนายเสรี ชิวพันกูล ประมาณ 50 เมตรต่อมาได้ยินเสียงดังโครมมาจากบ้านนายเสรี จำเลยถือมีดปลายแหลมมีคราบเลือดติดอยู่วิ่งผ่านบ้านนางเล็กเข้าไปในสวน ส่วนนางยุพินเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุ 1 วัน ผู้ตายเรียกนางแจ๋วภรรยานายเสรีมาสอบถามเรื่องที่นางแจ๋วพูดนินทานางสาวบุพเยาว์บุตรผู้ตายด้วยถ้อยคำหยาบคาย วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 8 นาฬิกา ผู้ตายเห็นนายเสรีเดินเข้าบ้านจึงบอกแก่นางยุพินว่าจะไปสอบถามให้รู้เรื่อง ต่อมานางยุพินได้ยินเสียงนางนงเยาว์ร้องตะโกนว่าจำเลยแทงผู้ตายแล้วเห็นจำเลยถือมีดปลายแหลมวิ่งออกมาจากบ้านเกิดเหตุหลบหนีไป ในข้อนี้จำเลยมีนายเสรี ชิวพันกูลและนางแจ๋ว ชิวพันกูล เป็นพยานเบิกความสนับสนุนโดยปฏิเสธต่อสู้ว่าไม่ได้มีเจตนาฆ่าผู้ตาย ขณะเกิดเหตุจำเลยนั่งคุยกับนายเสรีที่บ้านผู้ตายมีอาการเมาสุราถือเหล็กแป๊บจะเข้าไปตีนายเสรี นายเสรีเข้าบ้านปิดประตูลงกลอน ผู้ตายจึงหันไปหาจำเลยใช้เหล็กแป๊บตีจำเลยที่หัวไหล่ขวา จำเลยร้องห้ามและถอยหนี แต่ผู้ตายยังตามเข้าไปตีซ้ำจำเลยหลบทัน เมื่อผู้ตายจะตีจำเลยครั้งที่สามจำเลยได้ใช้มีดปลายแหลมที่ใช้ปาดตาลจากเอวเสือกแทงไปครั้งเดียวเพื่อป้องกันตัว พยานจำเลยดังกล่าวเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์ใกล้ชิด และไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับฝ่ายผู้ตายมาก่อนไม่มีเหตุระแวงว่าจะเบิกความช่วยเหลือจำเลยคำเบิกความของพยานจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ นอกจากนี้นางยุพินพยานโจทก์ยังเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าตอนเช้าวันเกิดเหตุผู้ตายออกจากบ้านถือเหล็กแป๊บไปด้วยก่อนออกไป ผู้ตายไปขนฟืนที่หน้าบ้านและดื่มสุราตรงที่ขนฟืน อันเป็นการเจือสมคำพยานจำเลยให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น นางยุพินเป็นภรรยาผู้ตายไม่ปรากฏว่ามีความสนิทสนมกับจำเลยเป็นพิเศษแต่อย่างใด จึงไม่มีเหตุที่จะเบิกความเข้าข้างจำเลย เชื่อว่าเบิกความไปตามความจริงที่รู้เห็นศาลฎีกาเห็นว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุผลรับฟังได้ว่าผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นโดยใช้เหล็กแป๊ปตีทำร้ายจำเลยก่อนและจะตีซ้ำอีก ได้ความจากนางยุพินว่าเหล็กแป๊บดังกล่าวมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ยาวประมาณ 1 ฟุตครึ่ง สามารถใช้เป็นอาวุธทำร้ายร่างกายถึงแก่ชีวิตได้ ดังนี้ จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะทำการป้องกันตัวให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยจะต้องหลบหนีดังที่โจทก์ฎีกา การที่จำเลยใช้มีดปลายแหลมของกลางแทงผู้ตายไป 1 ครั้งเพื่อหยุดยั้งการกระทำของผู้ตาย และบังเอิญมีดไปถูกอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกายผู้ตายถึงแก่ความตาย เช่นนี้ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยพอสมควรแก่เหตุ เป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 จำเลยไม่มีความผิด ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share