คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7626/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์เป็นตัวแทนของจำเลยในการกู้ยืมเงินจากธนาคาร แล้วนำเงินที่กู้ยืมมามอบให้แก่จำเลย แม้การเป็นตัวแทนในการกู้ยืมเงินจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือตาม ป.พ.พ. มาตรา 798 วรรคสอง ก็มีผลใช้บังคับกันได้ในระหว่างตัวการกับตัวแทน เมื่อโจทก์ถูกบังคับชำระหนี้ที่กู้ยืม จำเลยจึงต้องรับผิดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยที่โจทก์ต้องเสียไปคืนให้โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยขอให้โจทก์เป็นตัวแทนจำเลยกู้ยืมเงินจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนชยางกูร เป็นเงิน 1,000,000 บาท โดยตกลงกันว่า จำเลยจะชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่ธนาคารด้วยตนเอง โจทก์ได้ดำเนินการกู้ยืมเงินจำนวนดังกล่าวจากธนาคารฯ นำมามอบให้แก่จำเลยตามข้อตกลง ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารตามข้อตกลง ธนาคารจึงหักเงินในสมุดฝากเงินของโจทก์เป็นเงิน 1,000,000 บาท ชำระหนี้แก่ธนาคาร โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยชำระเงินที่โจทก์ถูกธนาคารหักนำไปชำระหนี้ แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2540 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 141,457.70 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 141,457.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 1,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยแต่งตั้งโจทก์เป็นตัวแทนในการกู้ยืมเงินจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนชยางกูร ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นตามที่คู่ความมิได้นำสืบโต้เถียงกันว่า โจทก์ทำสัญญากู้ยืมเงิน 1,000,000 บาท จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนชยางกูร ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4 ในการกู้ยืมเงินดังกล่าว โจทก์ได้นำสมุดเงินฝากซึ่งฝากเงินไว้กับธนาคารเป็นหลักประกัน ตามสำเนาสมุดเงินฝากเอกสารหมาย จ.5 จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คจำนวนเงิน 1,000,000 บาท ตามเช็คเอกสารหมาย จ.1 ภายหลังทำสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวมีการผิดนัดไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้แก่ธนาคาร ธนาคารจึงหักเงินฝาก 1,000,000 บาท ในสมุดเงินฝากของโจทก์ชำระหนี้แก่ธนาคาร คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยจะต้องรับผิดชำระเงินคืนให้โจทก์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์เบิกความลำดับความเป็นมาในการเป็นตัวแทนกู้ยืมเงินจากธนาคาร ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4 แล้วนำเงินที่กู้ยืมมาให้จำเลยได้อย่างต่อเนื่องและสมเหตุสมผลน่าเชื่อว่าโจทก์เป็นตัวแทนกู้ยืมจากธนาคารให้จำเลยจริง เพราะโจทก์มีเงินฝากประจำในธนาคารเกิน 1,000,000 บาทอยู่แล้ว ถ้าโจทก์ประสงค์จะใช้เงินก็สามารถเบิกถอนจากธนาคารได้เลยโดยไม่ต้องทำสัญญากู้ยืมเงินจากธนาคารซึ่งต้องเสียดอกเบี้ยโดยใช่เหตุ นอกจากนี้โจทก์ยังมีนางจุไรรัตน์ บุญหลง เป็นพยานเบิกความว่าเมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2540 โจทก์กับนางจุไรรัตน์เคยไปพบจำเลยที่ธนาคารโจทก์ต่อว่าจำเลย จำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเดือนร้อนที่ไม่นำเงินไปชำระหนี้ให้แก่ธนาคาร ซึ่งขณะนั้นธนาคารได้ทวงถามโจทก์แล้ว จำเลยพูดว่าจะไม่ทำให้โจทก์เดือนร้อน โดยประมาณเดือนพฤศจิกายน 2534 จำเลยจะคืนเงินให้แก่โจทก์ถ้าจำเลยไม่คืนให้โจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารได้ อันเป็นการสนับสนุนให้เห็นว่า โจทก์เป็นตัวแทนให้จำเลยในการกู้ยืมเงินตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4 นอกจากพยานบุคคลดังกล่าวแล้ว โจทก์ยังมีเช็คเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งจำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเงินจำนวน 1,000,000 บาท ตรงกับจำนวนเงินที่กู้ยืมอยู่ในความยึดถือของโจทก์ แม้โจทก์จะเคยฟ้องจำเลยให้รับผิดใช้เงินตามเช็คโดยระบุในคำฟ้องว่าเป็นเช็คชำระหนี้ และในคดีนี้โจทก์จะเบิกความว่าเป็นเช็คค้ำประกันก็ไม่ใช่ข้อพิรุธเพราะเช็คเอกสารหมาย จ.1 จะเป็นเช็คชำระหนี้หรือเช็คค้ำประกัน ก็เป็นเช็คที่จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายแล้วมอบให้โจทก์ยึดถือไว้ ซึ่งถ้าหากจำเลยไม่ได้สั่งจ่ายเช็คเอกสารหมาย จ.1 ให้โจทก์แล้ว เช็คเอกสารหมาย จ.1 จะมาอยู่ในความยึดถือของโจทก์ได้อย่างไร อีกทั้งสำเนาบัตรประชาชนเอกสารหมาย จ.2 และสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.3 ที่จำเลยลงลายมือชื่อรับรองไว้ก็อยู่ในความยึดถือของโจทก์ด้วย แสดงว่าเมื่อโจทก์กู้ยืมเงินจากธนาคารแล้วนำเงินมามอบให้จำเลย จำเลยได้มอบเช็คสำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนให้จำเลยยึดถือไว้ด้วย คำเบิกความของโจทก์จึงมีน้ำหนัก ฝ่ายจำเลยมีจำเลยเบิกความลอยๆ ว่า นางวรรณวิไล ขอยืมเช็คจากจำเลยเพื่อทำธุรกิจและจะคืนเช็คให้จำเลยเพื่อทำธุรกิจและจะคืนเช็คให้จำเลยภายใน 2 ถึง 3 เดือน จำเลยจึงให้ยืมไป แต่นางวรรณวิไลมิได้คืนเช็คให้จำเลย จำเลยได้แจ้งความดำเนินคดีแก่นางวรรณวิไลโดยนำนางวรรณวิไลไปด้วย จำเลยแจ้งความด้วยว่า หากเกิดความเสียหาย จำเลยจะไม่รับผิดชอบตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย ล.5 แต่จำเลยก็มิได้นำนางวรรณวิไลมาเบิกความสนับสนุน คำเบิกความของจำเลยจึงเลื่อนลอยรับฟังไม่ได้ แม้จำเลยจะนำสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย ล.5 มาแสดง แต่เอกสารดังกล่าวไม่ปรากฏว่ามีการแจ้งความดำเนินคดีแก่นางวรรณวิไล คงแจ้งว่านางวรรณวิไลขอยืมเช็คไปถ้าเกิดความเสียหายจำเลยจะไม่รับผิดชอบ ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่มีน้ำหนัก เพราะถ้านางวรรณวิไลยืมเช็คไปจริงและไม่คืนเช็คตามกำหนด จำเลยน่าจะแจ้งความดำเนินคดีแก่นางวรรณวิไลหรือน่าแจ้งอายัดเช็คไปยังธนาคารแล้ว แต่จำเลยก็หาได้กระทำไม่ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นตัวแทนของจำเลยให้การกู้ยืมเงินจากธนาคาร ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4 แล้วนำเงินที่กู้ยืมมามอบให้จำเลย แม้การเป็นตัวแทนในการกู้ยืมเงินจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 วรรคสอง ก็มีผลบังคับกันได้ในระหว่างตัวการกับตัวแทน เมื่อโจทก์ถูกบังคับชำระหนี้ที่กู้ยืม จำเลยจึงต้องรับผิดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยที่โจทก์ต้องเสียไปคืนให้โจทก์ แต่ที่โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2540 ซึ่งเป็นวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คเอกสารหมาย จ.1 นั้นไม่ถูกต้อง เพราะในวันดังกล่าวโจทก์ยังไม่ถูกบังคับให้ชำระหนี้ โจทก์เพิ่งถูกบังคับชำระหนี้เอาจากเงินฝากประจำในสมุดเงินฝากประจำเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2541 ดังนั้น โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเอาจากจำเลยได้ นับแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2541 เป็นต้นไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2541 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

Share