คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 762/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขับรถยนต์ประจำทาง ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์แล่นตามหลังไปทางเดียวกัน รถของผู้เสียหายแล่นอยู่ในช่องเดินรถด้านขวา ส่วนรถของจำเลยแล่นอยู่ในช่องเดินรถด้านซ้าย รถของจำเลยได้ผ่านรถประจำทางที่จอดอยู่ออกไปทางช่องรถด้านขวาอย่างกะทันหัน โดยไม่เดินรถให้ช้าลงพอควร และไม่ได้ให้สัญญาณแตรตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 13, 32 รถของผู้เสียหายที่แล่นตามหลังไม่สามารถหลบหลีกได้ เป็นเหตุให้กะบังหน้ารถของผู้เสียหายด้านซ้ายกระแทกกันชนด้านขวาของรถของจำเลย รถของผู้เสียหายแฉลบล้มลง ตัวผู้เสียหายกระเด็นไปถูกล้อรถยนต์ซึ่งแล่นสวนทางมาดันครูดไปตามถนน ทำให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่น ได้รับอันตรายสาหัส มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า จำเลยขับรถประจำทางซึ่งเครื่องห้ามล้อมือและเท้าใช้การไม่ได้ ไปตามถนนประชาธิปก โดยขับแล่นตามหลังรถประจำทางอีกคันหนึ่งขณะที่รถประจำทางคันดังกล่าวหยุดรับส่งผู้โดยสารที่ป้ายหยุดรถ จำเลยได้เดินรถแซงในที่คับขันผ่านรถประจำทางคันดังกล่าวที่จอดอยู่ไปทางขวามือโดยไม่ได้ให้สัญญาณแตรและไม่เดินรถให้ช้าลงพอควร เป็นเหตุให้รถที่จำเลยขับชนรถจักรยานยนต์ซึ่งโจทก์ร่วมเป็นผู้ขับ แล้วรถของโจทก์ร่วมเสียหลักแฉลบกินทางไปด้านขวามือ พุ่งเข้าชนรถยนต์แท๊กซี่ซึ่งนายเตียวเฮง แซ่อึ๊ง เป็นผู้ขับและแล่นสวนทางกัน เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายแก่กายสาหัสทุพพลภาพป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน ขอให้ลงโทษ

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า รถจำเลยชนรถของโจทก์ร่วม แม้โจทก์ร่วมมิได้ระวังดูรถข้างหน้าที่จะแซงออกมา แต่จำเลยแซงรถประจำทางออกไปจนเกิดชนรถโจทก์ร่วม เป็นการกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บถึงสาหัส และจำเลยขับรถที่มีห้ามล้อมือและเท้าใช้การไม่ได้ พิพากษาว่าจำเลยผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 13, 29(4), 66 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 กฎกระทรวงมหาดไทยออกตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 (ฉบับที่ 2) ข้อ 13 และ พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2473 มาตรา 5, 32 ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 อันเป็นกระทงหนักตามมาตรา 91 จำคุก 4 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า รถจำเลยขับมาในอัตรา 35 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ตรงที่เกิดเหตุถนนกว้างวิ่งได้สองแถว แซงขึ้นหน้าไม่ต้องให้สัญญาณ รถโจทก์ร่วมขับมาทีหลังมีหน้าที่ต้องระวังรถข้างหน้าจะต้องเบาเครื่องในเมื่อรถจำเลยเหหัวรถหลบรถประจำทางที่เข้าป้ายจอดรถ โจทก์ร่วมแซงรถจำเลยอีกต่อหนึ่ง ถือว่าเป็นความประมาทของโจทก์ร่วม จำเลยไม่ได้ประมาท และฟังได้ว่าจำเลยขับรถที่มีห้ามล้อมือและเท้าใช้การไม่ได้ พิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 16 พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2481 มาตรา 4 กฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 (ฉบับที่ 2) ข้อ 13 พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2473 มาตรา 5, 32 ให้ปรับ 100 บาท

โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า รถของจำเลยและรถของโจทก์ร่วมแล่นไปทางเดียวกัน รถของโจทก์ร่วมแล่นอยู่ในช่องเดินรถด้านขวารถจำเลยแล่นอยู่ในช่องเดินรถด้านซ้าย และได้ผ่านรถประจำทางที่จอดอยู่ออกไปทางช่องเดินรถด้านขวาอย่างกะทันหันโดยไม่เดินรถให้ช้าลงพอควรและไม่ได้ให้สัญญาณแตรดังที่บัญญัติในพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2477 มาตรา 13, 32 รถโจทก์ร่วมไม่สามารถหลบหลีกได้ เป็นเหตุให้กะบังหน้ารถของโจทก์ร่วมด้านซ้ายกระแทกกันชนด้านขวาของรถจำเลย รถของโจทก์ร่วมแฉลบล้มลง ตัวโจทก์ร่วมกระเด็นไปถูกล้อรถแท๊กซี่ซึ่งแล่นสวนทางมาดันครูดไปตามถนน เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัส การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัส

พิพากษาแก้ว่า จำเลยผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477มาตรา 13, 29(4), 66 พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2481มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 กฎกระทรวงมหาดไทยออกตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 2) ข้อ 13 และพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2473 มาตรา 5, 32 ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 อันเป็นบทที่หนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ส่วนโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share