คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 406/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จ. กับ ข. ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว มีบุตร 6 คน บุตรของ จ.ข. ทุกคนเว้น ธ. ซึ่งบวชเป็นพระภิกษุ ได้ร่วมกันครอบครองมรดกตลอดมา ก. บุตรของ จ.ข ตายหลัง จ.ข. มรดกของจ.ข. ที่ ก. ได้รับจึงตกเป็นของโจทก์ที่ 3 ซึ่งเป็นภริยาของ ก. ในฐานะผู้รับมรดกของ ก. หาใช่ในฐานะผู้รับมรดกแทนที่ ก. ไม่ แต่เมื่อพิเคราะห์ฟ้องของโจทก์แล้ว เป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ที่ 3 ขอรับมรดกของ ก.นั่นเอง โจทก์ที่ 3 จึงมีสิทธิขอแบ่งทรัพย์มรดก
ธ. ซึ่งบวชเป็นพระภิกษุอยู่ก่อน ข. เจ้ามรดกถึงแก่ความตายตลอดมาเป็นเวลา 20 ปีแล้ว ไม่ได้เข้ามาร่วมครอบครองทรัพย์มรดก คงมีแต่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 (ซึ่งเป็นบุตรของ จ.ข. เจ้ามรดก) และโจทก์ที่ 3 (ซึ่งเป็นภริยาของ ก.ซึ่งเป็นบุตรของ จ.ข. และถึงแก่ความตายไปแล้ว) จำเลย และ ส. ครอบครองร่วมกันมา โจทก์ทั้ง 3 จำเลย และ ส. ย่อมมีสิทธิในทรัพย์มรดกรายนี้เท่า ๆ กัน จึงให้แบ่งทรัพย์มรดกออกเป็น 5 ส่วน (วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7-8/2510)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ เป็นบุตรนายจูนางเขียว โดยนายจูนางเขียว มีบุตรชายหญิงรวม ๖ คน รวมทั้งโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ พระครูธรรมธรซึ่งเป็นพระภิกษุ โจทก์ที่ ๓ เป็นบุตรสะใภ้ของนายจูนางเขียว โดยเป็นภรรยานายเกี้ยวซึ่งวายชนม์ไปแล้ว โจทก์ที่ ๓ จึงเป็นผู้รับมรดกแทนที่นายเกี้ยว นายจูนางเขียวได้วายชนม์แล้ว เมื่อมีชีวิตอยู่มีทรัพย์สินตามบัญชีท้ายฟ้อง ทรัพย์หมายเลข ๑ นางเขียวยกให้โจทก์ไปแล้ว ทรัพย์หมายเลข ๒ บรรดาทายาทของนางเขียวได้ตกลงแบ่งกัน ทรัพย์หมายเลข ๓ ทายาททุกคนปกครองร่วมกัน โจทก์มีความประสงค์ขอแบ่งเป็น ๔ ส่วนเท่า ๆ กัน โจทก์ ๓ ส่วน จำเลย ๑ ส่วน จำเลยไม่ยอมแบ่ง จำเลยได้บุกรุกเข้าไปตัดฟันไม้ไผ่สีสุกในที่ดินหมายเลข ๓ ไปขายเอาเงินเสียแต่ผู้เดียว เป็นเงิน ๓,๖๐๐ บาท โจทก์ของแบ่งตามส่วน จำเลยไม่แบ่งให้ ขอให้จำเลยแบ่งทรัพย์หมายเลข ๓ ให้แก่โจทก์ ๓ ส่วน ถ้าไม่สามารถแบ่งกันเองได้ ให้ประมูลขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งให้โจทก์ ๓ ส่วน กับแบ่งไม้ไผ่ที่จำเลยตัดไป ให้แก่โจทก์ ๓ ใน ๔ ส่วน ถ้าไม่สามารถแบ่งได้ให้จำเลยใช้เงินค่าไม้ไผ่ ๒,๗๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิรับมรดก ๓ ส่วน เพราะนายจู นางเขียวมีบุตร ๖ คน ทรัพย์อันดับ ๓ เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่ผู้เดียว เพราะจำเลยเป็นผู้บุกเบิกถางป่า
ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่ดินพิพาทเป็นมรดกของนายจูนางเขียว มีทายาทตามบัญชีเครือญาติ ๖ คน แต่พระครูธรรมธรไม่ได้สึกมาจากพระมารับมรดกจนบัดนี้ ทายาทที่ได้รับมรดกรายนี้จึงมี ๕ คน โจทก์ควรได้ส่วนเพียง ๓ ใน ๕ ส่วน พิพากษาให้แบ่งทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์อันดับ ๓ ให้โจทก์ ๓ ใน ๕ ส่วน กับให้จำเลยแบ่งไม้ไผ่ที่ตัดไป ๓ ใน ๕ ส่วนของไม้ไผ่ ๘๐๐ ลำ หรือชำระราคาไม้ไผ่ ๑,๔๔๐ บาทให้แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกของนายจูนางเขียวจริง และเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกันว่าจำเลยตัดไม่ไผ่ไปเพียง ๘๐๐ ลำเป็นผลดีแก่จำเลยแล้ว
ได้ความว่านายจูนางเขียวมีบุตรตามบัญชีเครือญาติ ๖ คน บุตรของนายจูนางเขียวทุนคนเว้นแต่พระครูธรรมธร (ไซ่) ซึ่งบวชเป็นพระภิกษุอยู่ได้ร่วมกันครอบครองมรดกรายนี้ตลอดมา ต่อมานายเกี้ยวบุตรของนายจูนางเขียวได้ถึงแก่ความตาย มรดกของนายจูนางเขียวที่นายเกี้ยวได้รับจึงตกเป็นของโจทก์ที่ ๓ ซึ่งเป็นภริยานายเกี้ยว ในฐานะเป็นผู้รับมรดกนายเกี้ยว หาใช่ในฐานะในผู้รับมรดกแทนที่นายเกี้ยวดังที่โจทก์กล่าวในฟ้องไม่ แต่เมื่อพิเคราะห์แล้วเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ที่ ๓ ขอรับมรดกของนายเกี้ยวนั่นเอง โจทก์ที่ ๓ จึงมีสิทธิของแบ่งทรัพย์มรดกรายนั้น
เนื่องด้วยพระครูธรรมธรซึ่งเป็นบุตรของเจ้ามรดกบวชเป็นพระภิกษุอยู่ จึงมีประเด็นวินิจฉัยว่าจะแบ่งทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกรายนี้เป็น ๕ ส่วนหรือ ๖ ส่วน ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาในที่ประชุมใหญ่ในประเด็นข้อนี้แล้วมีมติว่า พระภิกษุมีสิทธิรับมรดกในฐานะเป็นทายาทโดยธรรมได้ แต่ถ้าจะเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกแล้วต้องสึกจากสมณเพศมาเรียกร้องภายในกำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๕๔ สำหรับคดีนี้ได้ความว่า พระครูธรรมธรได้บวชเป็นพระภิกษุอยู่ก่อนนางเขียวเจ้ามรดกถึงแก่ความตายตลอดมาจนบัดนี้เป็นเวลา ๒๐ ปีแล้ว ไม่ได้เข้ามาร่วมครอบครองทรัพย์มรดกรายนี้เลย คงมีแต่โจทก์จำเลยและนายสรวงครอบครองร่วมกันมา โจทก์จำเลยและนายสรวงย่อมมีสิทธิในทรัพย์มรดกรายนี้เท่า ๆ กัน จึงให้แบ่งทรัพย์มรดกรายนี้ออกเป็น ๕ ส่วน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าให้แบ่งทรัพย์มรดกรายนี้ให้แก่โจทก์ ๓ ส่วนใน ๕ ส่วนนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share