คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7610/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเฉพาะสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิตกับโจทก์ก็มีความประสงค์เพื่อการชำระหนี้ค่าสินค้าและบริการต่าง ๆ อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตรวมทั้งเพื่อถอนเงินสดจากบัญชีเงินฝากผ่านเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ ซึ่งเป็นกิจกรรมเกี่ยวเนื่องจากการใช้บัตรเครดิตทั้งสิ้น ดังนั้น หนี้ในคดีนี้จึงไม่ใช่หนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีหรือหนี้บัญชีเดินสะพัดโดยตรง แต่เป็นการที่โจทก์ให้บริการการใช้บัตรเครดิตแก่จำเลยที่เป็นสมาชิกโดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิก เรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองไปก่อน สิทธิเรียกร้องโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (7)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้จำนวน 506,765.69 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 199,780.44 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเฉพาะสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิตกับโจทก์ก็เพื่อให้จำเลยชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิต มิใช่มีเจตนาให้ตัดทอนบัญชีหนี้อันเกิดจากกิจการระหว่างโจทก์กับจำเลย และจำเลยไม่เคยใช้เช็คสั่งจ่ายเงิน มูลหนี้ตามฟ้องเกิดจากจำเลยใช้บัตรเครดิตจึงเป็นการเรียกเก็บเงินทดรองที่โจทก์ชำระแทนมีอายุความ 2 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ
ระหว่างการพิจารณาบริษัทบัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 199,780.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 มีนาคม 2540 ถึงวันที่ 21 ตุลาคม 2541 อัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2541 จนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ของต้นเงินดังกล่าว
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเฉพาะสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิตกับโจทก์ก็มีความประสงค์เพื่อการชำระหนี้ค่าสินค้าและค่าบริการต่าง ๆ อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตรวมทั้งเพื่อถอนเงินสดจากบัญชีเงินฝากผ่านเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติ ซึ่งเป็นกิจกรรมเกี่ยวเนื่องจากการใช้บัตรเครดิตทั้งสิ้น ตามที่ระบุไว้ในเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 1 และ ข้อ 2 ดังนั้นหนี้ในคดีนี้จึงไม่ใช่หนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีหรือหนี้บัญชีเดินสะพัดโดยตรง แต่เป็นการที่โจทก์ให้บริการการใช้บัตรเครดิตแก่จำเลยที่เป็นสมาชิกโดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิก เรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองไปก่อน สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7) และข้อเท็จจริงได้ความว่า หลังจากจำเลยใช้บัตรเครดิตถอนเงินสดผ่านเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติครั้งสุดท้าย โดยได้หักทอนบัญชีครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2535 แล้วไม่มีการถอนเงินจากบัญชีอีก ซึ่งโจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 6 มีนาคม 2545 พ้นกำหนด 2 ปีแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share