คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 761/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมจำเลยทำสัญญากู้เงินไว้ให้โจทก์จำนวนหนึ่ง ต่อมาโจทก์ลอบเติมเลข 1 ลงหน้าจำนวนเงินในเอกสารนั้น ทำให้จำนวนเงินกู้มากขึ้นแล้วเอาเอกสารนั้นมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลย ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวนเดิม คือจำนวนที่จำเลยยืมไปได้ การเติมเลข 1 ลงเพื่อเพิ่มจำนวนเงินกู้เดิมไม่ทำให้หลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือเดิมเสียไป.
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 21/2508)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอบังคับตามสัญญากู้ยืมเงิน ๑๙,๑๐๐ บาท และดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับจากวันกู้จนกว่าจะชำระเสร็จ ได้แนบสำเนาสัญญากู้มาท้ายฟ้อง
จำเลยสู้ว่าได้ยืมเงินโจทก์ ๙,๑๐๐ บาท และทำหลักฐานเป็นหนังสือให้ไว้ ต่อมาโจทก์ก็ปลอมเอกสารนั้น โดยเติมเลข ๑ และตัวหนังสือคำว่า “หมื่น” หน้าจำนวนเงินกู้เดิม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามคำให้การ และพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๙,๑๐๐ บาท กับดอกเบี้ยให้โจทก์
โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงว่าจำเลยกู้เงินไป ๑๙,๑๐๐ บาท จำเลยฎีกาว่าโจทก์ใช้เอกสารหลักฐานการกู้ยืมปลอมฟ้องคดี เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต มาศาลมือไม่สะอาด ควรยกฟ้อง
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงอย่างเดียวกับศาลล่าง และวินิจฉัยฎีกาของจำเลยโดยมติของที่ประชุมใหญ่ว่า เดิมเมื่อจำเลยทำสัญญากู้เงิน ๙,๑๐๐ บาท การกู้ยืมก็มีหลักฐานเป็นหนังสือซึ่งโจทก์อาจฟ้องได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ แล้ว การที่โจทก์มาเติมจำนวนเงินกู้ภายหลัง ไม่ทำให้หลักฐานแห่งการกู้ยืมเดิมเสียไป การที่จะไม่ให้จำเลยใช้เงินโจทก์เลยเป็นการสนับสนุนให้จำเลยไม่สุจริต
พิพากษายืน.

Share