คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 917/2485

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้ครอบครองปรปักสที่รายพิพาทต่อจากผู้ครอบครองคนก่อน ระยะเวลาย่อมนับรวมกัน การโอนสิทธิครอบครองระหว่างผู้ครอบครองเดิมกับจำเลยนั้นหาจำต้องทำเปนหนังสือและจดทะเบียนไม่เพียงแต่ส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครองเท่านั้นก็ไช้ได้

ย่อยาว

โจทจำเลยต่างอ้างกัมสิทธิ์ไนที่นารายพิพาทสาลชั้นต้นพิจารนาแล้วฟังว่า จำเลยทั้งห้าคนเพิ่งเข้าทำนารายพิพาทเมื่อปี ๒๔๗๙ จำเลยยังไม่ได้กัมสิทธิ์ จึงบังคับไห้จำเลยทำสัญญาเช่าต่อโจท ถ้าไม่ทำสัญญาเช่าก็ห้ามมิไห้เข้าไถทำเก็บเกี่ยวมเล็ดข้าวไนที่นาของโจท
จำเลยอุธรน์ สาลอุธรน์คงพิพากสาแก้ไห้ยกฟ้องโจทไนคดีที่เกี่ยวกับนายเริน นายวงส นายอินจำเลย นอกนั้นคงพิพากสายืน
โจทดีกา สาลดีกาเห็นว่า ที่นาพิพาทเกี่ยวกับจำเลยทั้งสามนี้โจทมีโฉนดเปนสำคันจึงเปนหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องนำสืบตามข้อต่อสู้ว่า ได้ครอบครองโดยปรปักสหย่างเจ้าของโดยเปิดเผยและโดยความสงบ โจทคัดค้านว่าจำเลยบางคนได้เข้าครอบครองโดยปรปักสเปนเวลาไม่ถึง ๑๐ ปี ส่วนก่อนนั้นคนอื่นครอบครองเมื่อคนเก่าสละการครอบครองโอนไห้จำเลย ฯ ก็ตั้งต้นเริ่มนับอายุความครอบครองไหม่ สาลดีกาเห็นว่าเมื่อผู้ครอบครองปรปักสคนก่อนโอนการครอบครองไห้จำเลยแล้ว ระยะเวลาครอบครองของคนก่อนย่อมจะรวมเข้ากับระยะเวลาครอบครองของจำเลยได้ตาม ม.๑๓๘๕ ป.พ.พ. ส่วนที่โจทคัดค้านว่าการโอนระหว่างผู้ครอบครองเดิมกับจำเลยมิได้ทำเปนหนังสือและจดทเบียนนั้น สาลดีกาเห็นว่าเพียงแต่ส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครองแก่กันก็ไช้ได้ตามม.๑๓๗๘ ส่วนไนข้อเท็ดจิงที่ว่าจำเลยครอบครองโดยปรปักสหรืออาสัยอำนาดโจทนั้น เห็นว่าพยานหลักถานของโจทไม่มั่นคงพอ จึงพิพากสายืนตาม

Share