แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยต้องการประชดบิดาจึงได้ซื้อเฮโรอีนมาแล้วนำไปมอบให้เจ้าพนักงานตำรวจเพื่อให้จับกุมจำเลย เป็นกรณีจำเลยเจตนาที่จะให้เจ้าพนักงานตำรวจได้เห็นว่าตนมีเฮโรอีนจะได้จับกุมเท่านั้น มิใช่เจตนาที่จะยึดถือเฮโรอีนของกลางไว้ในความครอบครองแต่ประการใด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7(1), 8, 15, 67, 102 ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2522) เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ลงวันที่ 17 กันยายน 2522ข้อ 1(1) และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7(1), 8,15 วรรคแรก, 67, 102 ลงโทษจำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพมาตลอดลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก6 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ส่วนเฮโรอีนของกลางเป็นของผิดกฎหมายให้ริบ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยุติว่า วันเกิดเหตุจำเลยมีเรื่องทะเลาะกับบิดา จำเลยน้อยใจอยากจะประชดบิดา จึงให้เพื่อนไปซื้อเฮโรอีนมา 2 หลอด เมื่อได้เฮโรอีนมาแล้ว จำเลยก็นำเฮโรอีนไปมอบให้เจ้าพนักงานตำรวจเพื่อให้จับกุมตนในข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต เห็นว่า การที่จำเลยได้เฮโรอีนมาเพื่อจะได้นำไปให้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมตนในข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเช่นนี้ เป็นกรณีที่เห็นได้ว่าจำเลยเจตนาที่จะให้เจ้าพนักงานได้เห็นว่าตนมีเฮโรอีนของกลางเพื่อเจ้าพนักงานจะจับกุมตนได้ตามที่ตั้งใจจะให้ถูกจับกุมเท่านั้น จึงเป็นการหาเฮโรอีนมาเป็นของกลางเพื่อให้ถูกจับกุม มิใช่เจตนาที่จะยึดถือเฮโรอีนของกลางนั้นไว้ในครอบครองของตนแต่ประการใด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน