แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขณะปลูกกัญชาจำเลยย่อมจะต้องมีกัญชาไว้ในครอบครอง เพราะถ้าไม่มีกัญชาก็จะปลูกกัญชาไม่ได้ จำเลยจึงมีกัญชาไว้ในครอบครองตั้งแต่ขณะปลูก และเมื่อปลูกแล้วกัญชาย่อมเจริญเติบโต เมื่อปรากฏว่ากัญชาที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเป็นส่วนหนึ่งของผลผลิตซึ่งเกิดจากกัญชาที่จำเลยปลูก ไม่ว่าจำเลยจะเก็บจากต้นแล้วหรือไม่ก็ตาม ถือได้ว่าการมีกัญชาไว้ในครอบครองตามพฤติการณ์ดังกล่าวเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานผลิตกัญชาด้วยการปลูก
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2527)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๕ ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๒๕ วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยปลูกกัญชาจำนวน ๔ ต้น อันเป็นการผลิตกัญชาซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ และต่อมาวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๒๕ เวลากลางวันจำเลยมีกัญชาแห้งน้ำหนัก ๓๔๐.๒๐ กรัม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกัญชาที่จำเลยได้มาจากการผลิตไว้ในครอบครอง ทั้งนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากรับมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๒๖, ๗๕, ๗๖, ๑๐๒ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๒๖, ๗๕, ๗๖, ๑๐๒ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๑ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๒ ลงโทษฐานมีกัญชา จำคุก ๑ ปี ฐานผลิตกัญชา จำคุก ๒ ปี รวมโทษจำคุก ๓ ปี รับสารภาพลดกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๑ ปี ๖ เดือน
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า ยังไม่มีเหตุผลที่จะรอการลงโทษจำเลย แต่กัญชาแห้งที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเป็นส่วนหนึ่งของกัญชาที่จำเลยได้มาจากการผลิต การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒มาตรา ๒๖, ๗๕, ๑๐๒ ให้ลงโทษตามมาตรา ๗๕ ซึ่งเป็นบทหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุก ๒ ปี รับสารภาพลดกึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๑ ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิด ๒ กรรม
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ขณะปลูกกัญชาจำเลยย่อมจะต้องมีกัญชาไว้ในครอบครอง เพราะถ้าไม่มีกัญชาก็จะปลูกกัญชาไม่ได้ จำเลยจึงมีกัญชาไว้ในครอบครองตั้งแต่ขณะปลูก และเมื่อปลูกแล้วกัญชาย่อมเจริญเติบโต เมื่อปรากฏว่ากัญชาที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเป็นส่วนหนึ่งของผลผลิตซึ่งเกิดจากกัญชาที่จำเลยปลูก ไม่ว่าจำเลยจะเก็บจากต้นแล้วหรือไม่ก็ตาม ถือได้ว่าการมีกัญชาไว้ในครอบครองตามพฤติการณ์ดังกล่าวเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานผลิตกัญชาด้วยการปลูก ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒มาตรา ๒๖, ๗๕, ๑๐๒ ให้ลงโทษตามมาตรา ๗๕ ซึ่งเป็นบทหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ นั้นไม่ถูกต้อง เพราะการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๖ อีกบทหนึ่งด้วย
พิพากษาแก้ เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๖ อีกบทหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์