คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 759/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อเจ้ามฤดกตายแล้ว ผู้รับมฤดกได้ทำสัญญาตกลงแบ่งทรัพย์กันคนละส่วน แต่ยังไม่ได้แบ่งปันกัน และมอบเงินประกันการค้าน้ำมันกับบริษัทน้ำมัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองมฤดก ให้อยู่ในความควบคุมดูแลของจำเลย ดั่งนี้ ถือว่าทายาทต่างยังเป็นเจ้าของรวมในเงินประกันนั้น จะนำมาตรา 1754 ป.พ.พ.มาใช้บังคับไม่ได้
ป.พ.พ.มาตรา 1748 วรรค 2 บัญญัติว่า สิทธิที่จะเรียกให้แบ่งทรัพย์มฤดกตามวรรคก่อนจะตัดโดยนิติกรรมเกินคราวละสิบปีไม่ได้นั้น หมายความว่าทายาทจะทำความตกลงกันห้ามไม่ให้ใครเรียกให้แบ่งทรัพย์มฤดกก็ย่อมทำได้ แต่ในการที่จะทำนิติกรรมห้ามเรียกแบ่งทรัพย์มฤดกนั้น จะห้ามได้แต่เพียงคราวละสิบปี เมื่อพ้นกำหนด 10 ปีแล้ว ทายาทย่อมมีสิทธิจะเรียกให้แบ่งได้เสมอตามทรัพย์สิทธิของเขา จะแปลกลับเป็นว่า ทายาทจะเรียกให้แบ่งทรัพย์ไม่ได้ เมื่อเกินสิบปีแล้วนั้น ไม่ได้

ย่อยาว

ได้ความว่า โจทก์จำเลยเป็นบุตรขุนจำนงค์ฯ และนางฉุ้นมารดา เมื่อขุนจำนงค์ตายแล้ว โจทก์จำเลยและทายาทได้ทำสัญญาเกี่ยวกับมฤดกขึ้นฉะบับหนึ่ง เอาการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงของบริษัทเอเซียติ๊ก ปิโตรเลียมเป็นของกองมฤดก คือกองมฤดกได้เป็นเอเย่นต์บริษัทมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๑ โดยบริษัทเรียกเงินประกัน ๕๐๐๐ เหรียญสิงคโปร์ คิดเป็นเงินไทย ๖๒๕๐ บาท และบริษัทเช่าโกดังเก็บน้ำมันของกองมฤดก ๑ หลัง การเป็นเอเย่นต์จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงได้เลิกเมื่อเกิดสงครามเอเซีย พ.ศ.๒๔๘๔ โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินกองมฤดกเกี่ยวกับการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งโจทก์มีสิทธิ ๑ ใน ๕ ส่วน ของเงินค่าประกันดอกเบี้ย ค่าเช่ากุดัง เป็นเงินจำนวน ๕๐๘๖ บาท ๗๕ สตางค์ จำเลยให้การรับว่าเงินประกันและกุดังเป็นของกองมฤดก แต่จำเลยไม่เคยรับเงินประกันดอกเบี้ยและค่าเช่ากุดังเลย ต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้จัดการมฤดก คดีขาดอายุความแล้ว ได้ยื่นคำร้องเพิ่มเติมคำให้การว่า จำเลยครอบครองมฤดกเกินสิบปีแล้ว
ศาลชั้นต้นฟังว่า เงินประกันและกุดังเป็นของกองมฤดก ดอกเบี้ยเงินประกันและค่าเช่ากุดังเป็นของจำเลย พิพากษาให้จำเลยนำเงินค่าประกัน ๕๐๐๐ เหรียญ คิดเป็นเงินไทย ๖๒๕๐ บาท มาวางศาล หักค่าธรรมเนียมทนายทั้งสองฝ่ายเหลือเท่าใด จ่ายให้โจทก์ ๑ ใน ๕ นอกนั้นคืนจำเลยไป
โจทก์จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า ให้จำเลยนำเงิน ๕๐๐๐ เหรียญสิงคโปร์หรือเงินไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนในขณะที่จำเลยนำมาชำระหนี้มาวางศาล นอกนั้นยืนตาม
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์มฤดกจากจำเลยเกิน ๑๐ ปี ย่อมขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อขุนจำนงค์ฯตาย ทายาทได้ทำหนังสือสัญญาลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๔๗๔ ตกลงแบ่งทรัพย์มฤดกเป็น ๕ ส่วน แต่ยังมิได้แบ่งกันและมอบเงินประกัน ๕๐๐๐ เหรียญให้อยู่ในควบคุมดูแลของจำเลย โดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกองมฤดก ดั่งนี้ ทายาททั้งห้าจึงเป็นเจ้าของรวมกันในเงิน ๕๐๐๐ เหรียญ หากแต่ให้จำเลยเป็นผู้จัดการควบคุมดูแล จะนำเอา ป.พ.พ.มาตรา ๑๗๕๔ มาใช้บังคับไม่ได้ จำเลยยกมาตรา ๑๗๔๘ วรรค ๒ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ความวรรคนี้มีว่า “สิทธิที่จะเรียกให้แบ่งทรัพย์มฤดกตามวรรคก่อน จะตัดโดยนิติกรรมเกินคราวละ ๑๐ ปีไม่ได้ ซึ่งหมายความว่า ทายาทจะทำความตกลงกันห้ามไม่ให้ใครเรียกให้แบ่งทรัพย์มฤดกก็ย่อมทำได้ แต่ในการที่จะทำนิติกรรมห้ามเรียกแบ่งทรัพย์มฤดกนั้น จะห้ามได้แต่เพียงคราวละสิบปี เมื่อพ้นกำหนดสิบปีแล้ว ทายาทย่อมมีสิทธิจะเรียกให้แบ่งได้เสมอตามทรัพย์สินของเขา ที่จำเลยจะแปลกลับเป็นว่า ทายาทจะเรียกให้แบ่งทรัพย์ไม่ได้ เกินสิบปีแล้วจึงไม่ถูกต้อง
พิพากษายืน

Share