แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์มี ส. เป็นพยานเพียงคนเดียวที่อ้างว่ารู้เห็นการกระทำของจำเลย แต่โจทก์ไม่ได้ตัว ส. มาเบิกความมีแต่บันทึกคำให้การชั้นสอบสวน แต่จากคำให้การชั้นสอบสวนปรากฏว่า หลังจาก ส.เห็นเหตุการณ์แล้วก็มิได้เล่าให้ใครฟังจนวันที่ 9 เดือนเดียวกันทราบว่ามีผู้พบศพผู้ตาย จึงไปเล่าให้ พ.ผู้ใหญ่บ้านฟังพ.พาไปให้การต่อพนักงานสอบสวนในวันรุ่งขึ้น โจทก์ก็มิได้ถาม พ.ให้ปรากฏว่า พ.รับฟังมาจากส.และพาส. ไปให้การต่อพนักงานสอบสวนจริง คำให้การชั้นสอบสวนของ ส. เป็นพยานบอกเล่าจำเลยไม่มีโอกาสถามค้านทำให้มีน้ำหนักน้อยไม่น่าเชื่อถือโจทก์จึงเหลือแต่คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสอง ซึ่งจำเลยทั้งสองโต้แย้งว่าเป็นคำให้การที่ได้มาโดยมิชอบ และไม้ของกลางที่พนักงานสอบสวนเบิกความว่าขณะนำชี้ที่เกิดเหตุจำเลยที่ 1นำมามอบให้และบอกว่าเป็นไม้ที่ใช้ตีผู้ตาย แต่ไม่ปรากฏว่าไม้ของกลามีร่องรอยที่ชี้ว่าใช้ตีผู้ตายมาแล้ว พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289, 83, 33 และริบไม้ของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 ให้จำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิตจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาบ้างมีเหตุบรรเทาโทษเห็นสมควรลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 53 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 33 ปี4 เดือน ริบไม้ของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับยกฟ้องโจทก์ ของกลางริบ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายใช้วัตถุของแข็งเป็นอาวุธตีทำร้ายร่างกายนายเขียว แก้วกวย จนถึงแก่ความตายปัญหามีว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันฆ่าผู้ตายหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้โจทก์มีแต่นายสมนึก คำแก้ว เป็นพยานเพียงคนเดียวที่อ้างว่าเป็นผู้รู้เห็นการกระทำของจำเลยทั้งสอง แต่โจทก์ไม่ได้ตัวนายสมนึกมาเบิกความมีแต่บันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของนายสมนึกตามเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งให้การว่าในคืนเกิดเหตุ นายสมนึกไปแอบเห็นจำเลยทั้งสองกับพวกอีก 2 คน ร่วมกันทำร้ายชายคนหนึ่ง ภายหลังทราบว่าเป็นผู้ตาย แต่จากคำให้การในชั้นสอบสวนนี้ปรากฏว่าหลังจากนายสมนึกเห็นเหตุการณ์แล้วก็มิได้เล่าให้ใครฟังจนวันที่ 9เดือนเดียวกัน ทราบว่ามีคนพบศพผู้ตายในบริเวณที่นายสมนึกเห็นจึงไปเล่าให้นายไพริน เจริญจิต ผู้ใหญ่บ้านฟัง นายไพรินพาไปให้การต่อพนักงานสอบสวนในวันรุ่งขึ้น ทำให้เห็นข้อพิรุธว่าหลังเกิดเหตุใหม่ ๆ นายสมนึกก็มิได้เล่าเรื่องที่เห็นให้คนอื่นฟังทั้งที่เป็นเรื่องร้ายแรง และที่อ้างว่าได้เล่าให้นายไพรินฟังนายไพรินเป็นคนพานายสมนึกไปให้การต่อพนักงานสอบสวนโจทก์ก็มิได้ถามนายไพรินให้ปรากฏว่านายไพรินรับฟังมาจากนายสมนึกและได้พานายสมนึกไปให้การต่อพนักงานสอบสวนจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำให้การในชั้นสอบสวนของนายสมนึกเป็นพยานบอกเล่าจำเลยทั้งสองไม่มีโอกาสถามค้าน ทำให้มีน้ำหนักน้อยไม่น่าเชื่อถือโจทก์จึงเหลือแต่คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองซึ่งจำเลยทั้งสองโต้แย้งว่าเป็นคำให้การที่ได้มาโดยมิชอบและไม้ของกลางที่พันตำรวจโทรังสรรค์ คชไกร พนักงานสอบสวนเบิกความว่าขณะนำชี้ที่เหตุ จำเลยที่ 1 นำไม้ดังกล่าวจากที่เกิดเหตุมอบให้และบอกว่าเป็นไม้ที่ใช้ตีผู้ตาย แต่ไม่ปรากฏว่าไม้ของกลางดังกล่าวมีร่องรอยที่ชี้ว่าใช้ตีผู้ตายมาแล้ว พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันฆ่าผู้ตาย ทั้งไม่อาจฟังว่าไม้ของกลางดังกล่าวคนร้ายได้ใช้ในการกระทำความผิด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ลงโทษจำเลยทั้งสองชอบแล้ว แต่ของกลางริบไม่ได้ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ไม้ของกลางไม่ริบ