คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 758/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนกับคดีนี้ โจทก์จำเลยเป็นคู่ความเดียวกันส่วนมากที่พิพาทก็แปลงเดียวกันข้อเท็จจริงในคำฟ้องก็บรรยายในทำนองเดียวกันแต่คำขอต่างกันโดยฟ้องคดีก่อนโจทก์ขอแบ่งที่พิพาทด้านตะวันออกและตะวันตกเฉียงเหนือเป็นของโจทก์ครึ่งหนึ่งแต่คำขอคดีนี้ขอแบ่งที่พิพาทครึ่งหนึ่งเฉยๆไม่ระบุด้านถ้าตกลงแบ่งกันไม่ได้ก็ให้ประมูลหรือขายทอดตลาดแบ่งเงินแก่โจทก์จำเลยตามส่วนดังนี้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ทรัพย์เป็นของบุคคลหลายคนรวมกันในเบื้องต้นให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้เป็นเจ้าของรวมกันมีส่วนเท่ากันเว้นแต่เจ้าของรวมฝ่ายหนึ่งจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีส่วนได้พิเศษมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง
การแบ่งทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364วรรค 2 นั้นเมื่อสภาพของที่พิพาทควรแบ่งกันได้ก็ยังไม่ควรบังคับให้ประมูลราคากันก่อน(อ้างฎีกาที่1993/2500)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทร่วมกันมากับผู้มีชื่อและจำเลย โจทก์กับจำเลยจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินรวมกันมาตามส่วน โจทก์มีความประสงค์จะแบ่งแยกที่ดินส่วนของโจทก์ และได้เจรจากับจำเลยแล้ว จำเลยเกี่ยงจะเอาที่ดินส่วนด้านทิศตะวันออกซึ่งมีราคาสูง จึงตกลงกันไม่ได้ จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ครึ่งหนึ่งหรือให้ประมูลหรือขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันตามส่วน

จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยได้ครอบครองที่ดินด้านตะวันออกเฉพาะส่วนแต่ละคนมาด้วยความสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของสืบต่อจากผู้มีชื่อมา 12 ปีแล้ว โจทก์หรือบิดามารดาโจทก์ไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้อง จำเลยก็ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินทางซีกตะวันตกแม้โจทก์จำเลยจะเป็นเจ้าของที่ดินร่วมกันตามคำพิพากษาแต่โจทก์ก็แสดงการครอบครองและเก็บค่าเช่าและผลประโยชน์อื่น ๆ จากที่ดินซีกตะวันตกนั้นแต่ผู้เดียว แสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์จำเลยว่าต่างมีเจตนาครอบครองที่ดินฝ่ายละซีกเป็นส่วนสัดตลอดมาแล้วที่ดินทั้ง 2 ซีกมีราคาเท่ากัน การที่โจทก์ขอศาลให้ประมูลหรือขายทอดตลาดที่ดินทั้งแปลงเอาเงินแบ่งกันนั้น เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ศาลแบ่งที่ดินให้โจทก์ครึ่งหนึ่งทางซีกตะวันตก

ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำ และคำพิพากษาในคดีก่อนผูกพันจำเลย จำเลยจะยกข้อโต้เถียงเช่นเดียวกับคดีก่อนให้นอกเหนือคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้ว หามีผลไม่ และเมื่อโจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์รวมกัน แต่ตกลงแบ่งที่กันไม่ได้ ก็ให้แบ่งทรัพย์พิพาทโดยประมูลหรือขายทอดตลาดทั้งแปลง แล้วแบ่งเงินกันระหว่างโจทก์จำเลยตามส่วน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีก่อนกับคดีนี้โจทก์จำเลยเป็นคู่ความเดียวกันส่วนมากที่พิพาทก็แปลงเดียวกัน ข้อเท็จจริงในคำฟ้องก็บรรยายในทำนองเดียวกันแต่คำขอต่างกันโดยฟ้องคดีก่อนโจทก์ขอแบ่งที่พิพาทด้านตะวันออกและตะวันตกเฉียงเหนือเป็นของโจทก์ครึ่งหนึ่ง แต่คำขอคดีนี้ขอแบ่งที่พิพาทครึ่งหนึ่งเฉย ๆ ไม่ระบุด้าน ถ้าตกลงแบ่งกันไม่ได้ก็ให้ประมูลหรือขายทอดตลาดแบ่งเงินแก่โจทก์จำเลยตามส่วน ดังนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำการแบ่งทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1365 วรรค 2 นั้น เมื่อสภาพของที่พิพาทควรแบ่งกันได้ ก็ยังไม่ควรบังคับให้ประมูลราคากันก่อน ดังคำพิพากษาฎีกาที่ 199/2500 ที่จำเลยขอให้ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานและพิพากษาคดีใหม่นั้น ไม่จำเป็น

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้แบ่งที่พิพาทให้โจทก์จำเลยฝ่ายละครึ่งเท่า ๆ กัน โดยให้ถือคูกลางเป็นเขต ให้โจทก์ได้ส่วนทางด้านทิศตะวันตก ส่วนทางด้านตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือให้เป็นของจำเลยตามส่วนที่รับโอนมาและปลูกบ้านเรือนครอบครองอยู่หากโรงเรือนของฝ่ายใดอยู่ในเขตอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ให้ฝ่ายนั้นชดใช้ราคาค่าที่ดินตามส่วนที่ศาลชั้นต้นจะกำหนด

Share