แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทำสัญญาซื้อเครื่องส่งวิทยุแฝงในแบตเตอรี่โทรศัพท์เคลื่อนที่จากจำเลย จำเลยย่อมมีหน้าที่จัดหาสินค้าดังกล่าวตามสัญญาส่งมอบให้แก่โจทก์ การที่บริษัท ด. ผู้ผลิตสินค้าไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ของประเทศสหรัฐอเมริกาให้ส่งออกสินค้า จึงเป็นความผิดของจำเลย หาใช่เหตุสุดวิสัยไม่ ทั้งมิใช่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และซึ่งจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ และทำให้จำเลยเป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 219 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน 2,386,836.24 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,386,836.24 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอบังคับให้โจทก์คืนเงิน 320,869.22 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้น 261,714.56 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องแย้งไปจนกว่าชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้เงิน 261,714.46 บาท แก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2543 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องแย้ง ( ฟ้องแย้งวันที่ 1 มีนาคม 2545 ) ต้องไม่เกิน 59,154.66 บาท ตามที่จำเลยขอ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความให้ 4,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่จำเลยชนะคดี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องแย้งจำเลยด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2540 โจทก์ทำสัญญาซื้อเครื่องส่งวิทยุแฝงในแบตเตอรี่โทรศัพท์เคลื่อนที่กำลังส่ง 50 มิลลิวัตต์ จากจำเลย 41 เครื่อง เป็นเงิน 3,184,000 บาท และชุดเครื่องรับวิทยุแบบปรับความถี่ได้ 10 ชุด เป็นเงิน 2,050,291.20 บาท รวมเป็นเงิน 5,234,291.20 บาท กำหนดส่งมอบสินค้าภายในวันที่ 10 มีนาคม 2541 โดยจำเลยมอบหนังสือค้ำประกันของธนาคารนครหลวงไทย จำกัด ( มหาชน ) สาขาลาดพร้าว 2 ฉบับ จำนวนเงิน 261,714.56 บาท ให้แก่โจทก์เพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา และตกลงกันว่าหากจำเลยผิดนัด โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกัน หากโจทก์มิได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา โจทก์มีสิทธิปรับจำเลยเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสินค้าที่ยังไม่ได้รับมอบ เมื่อครบกำหนดส่งมอบสินค้า จำเลยมีหนังสือลงวันที่ 17 มีนาคม 2541 แจ้งขอขยายระยะเวลากำหนดส่งสินค้าไปวันที่ 30 ตุลาคม 2541 โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 24 มีนาคม 2541 แจ้งขอสงวนสิทธิการเรียกค่าปรับ วันที่ 30 เมษายน 2541 จำเลยมีหนังสือขอขยายระยะเวลาส่งสินค้าไปอีก 120 วัน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2541 โจทก์อนุมัติให้ขยายระยะเวลาส่งสินค้าไปอีก 120 วัน เป็นวันที่ 8 กรกฎาคม 2541 ต่อมาวันที่ 25 สิงหาคม 2541 จำเลยมีหนังสือแจ้งขอยกเลิกสัญญาอ้างเหตุสุดวิสัยว่า ผู้ผลิตสินค้าไม่สามารถจัดส่งสินค้าให้แก่จำเลยได้ เพราะกระทรวงพาณิชย์ของประเทศสหรัฐอเมริกาไม่อนุญาต โดยจำเลยมีหนังสือยืนยันการยกเลิกสัญญา และมีหนังสือชี้แจงเพิ่มเติม แต่เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2541 จำเลยกลับมีหนังสือแจ้งโจทก์ว่า จำเลยประสบปัญหาการขาดสภาพคล่อง เนื่องจากสถาบันการเงินงดให้สินเชื่อและปัญหาผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา จึงขอขยายระยะเวลาส่งมอบสินค้าไปอีก 360 วัน นับแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2541 ไปถึงวันที่ 3 กรกฎาคม 2542 ครั้นวันที่ 19 มกราคม 2552 จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ขอแบ่งการส่งสินค้าเป็น 6 งวด และวันที่ 22 มกราคม 2542 จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ขอขยายเวลาส่งสินค้าให้สอดคล้องกับการขอแบ่งการส่งสินค้าเป็นงวดดังกล่าวไปเป็นวันที่ 31 ตุลาคม 2543 โจทก์พิจารณาแล้วเห็นว่าหน่วยงานของโจทก์ใช้เวลาพิจารณาออกหนังสือถึงผู้อำนวยการสำนักงานใบอนุญาตวิทยุคมนาคม กรมไปรษณีย์โทรเลข ตามหนังสือขอให้ออกหนังสือขออนุญาตนำเข้าเครื่องวิทยุคมนาคมของจำเลยล่าช้ากว่าปกติไป 4 วัน จึงอนุญาตให้ขยายระยะเวลาส่งมอบสินค้าจากวันที่ 8 กรกฎาคม 2541 เป็นวันที่ 12 กรกฎาคม 2541 และบอกเลิกสัญญาโดยให้จำเลยชำระค่าปรับวันละ 10,468.58 บาท นับแต่วันที่ 13 กรกฎาคม 2541 ถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2542 รวม 228 วัน เป็นเงินค่าปรับ 2,386,836.24 บาท หลังจากนั้นจำเลยมีหนังสือลงวันที่ 12 มีนาคม 2542 โต้แย้งผลการพิจารณาของโจทก์ และวันที่ 10 พฤษภาคม 2542 จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ขอผ่อนผันการยกเลิกสัญญาอ้างว่าได้รับแจ้งจากผู้ผลิตว่าผู้ผลิตมีความสามารถที่จะส่งออกได้ แต่โจทก์เห็นว่าไม่อยู่ในเงื่อนไข หลักเกณฑ์ และแนวทางปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่ นร 0205/ว 197 ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2541 จึงไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาและแจ้งให้จำเลยทราบแล้ว ต่อมาวันที่ 19 กรกฎาคม 2542 จำเลยมีหนังสือแย้งผลการพิจารณาดังกล่าวและขอขยายระยะเวลาตามสัญญาอีก โดยอ้างว่าผู้ผลิตในต่างประเทศไม่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกสินค้าเฉพาะเครื่องส่งวิทยุแฝงในแบตเตอรี่โทรศัพท์เคลื่อนที่เท่านั้น ส่วนชุดเครื่องรับวิทยุแบบปรับความถี่ได้ 10 ชุด ไม่จำเป็นต้องใช้ใบอนุญาตส่งออก และภายหลังจากที่ผู้ผลิตไม่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกเครื่องส่งวิทยุแฝงในแบตเตอรี่โทรศัพท์เคลื่อนที่แล้ว ก็ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยมีแนวทางหนึ่งที่ได้ดำเนินการคือ ส่งออกชิ้นส่วนของสินค้าไปทำการประกอบ ผลิต และทดสอบที่โรงงานในประเทศออสเตรเลียแล้วจึงส่งมายังประเทศไทย ทำให้เป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมายและข้อกำหนดของทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศออสเตรเลีย จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ใบอนุญาตส่งออกของประเทศสหรัฐอเมริกา และจำเลยยืนยันว่าสามารถส่งสินค้าทั้งหมดได้ ต่อมาวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2543 ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด ( มหาชน ) ได้ชำระเงินตามหนังสือค้ำประกัน 261,714.56 บาท ให้แก่โจทก์ และจำเลยได้ชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด ( มหาชน ) แล้ว ส่วนโจทก์ได้จัดซื้อสินค้าจากผู้ขายรายอื่นแล้วในราคา 4,399,626 บาท ต่ำกว่าราคาที่ซื้อจากจำเลย 834,665.20 บาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยผิดสัญญาหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า บริษัทไดน่าเทค แทคติคอล คอมมิวนิเคชั่น อิงค์ จำกัด ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ผลิตสินค้าไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ของประเทศสหรัฐอเมริกาให้ส่งออกสินค้าซึ่งนอกเหนือจากการควบคุมของจำเลย โดยจำเลยไม่ทราบมาก่อน ไม่ได้เกิดจากความบกพร่อง การกระทำ หรือละเว้นการกระทำของจำเลย แต่เป็นเหตุสุดวิสัย จำเลยไม่ได้ผิดสัญญานั้น เห็นว่า โจทก์ทำสัญญาซื้อเครื่องส่งวิทยุแฝงในแบตเตอรี่โทรศัพท์เคลื่อนที่กำลังส่ง 50 มิลลิวัตต์ 41 เครื่อง และชุดเครื่องรับวิทยุแบบปรับความถี่ได้ 10 ชุด รวมราคา 5,234,291.20 บาท จากจำเลย จำเลยย่อมมีหน้าที่จัดหาสินค้าดังกล่าวตามสัญญาส่งมอบให้แก่โจทก์ การที่บริษัทไดน่าเทค แทคติคอล คอมมิวนิเคชั่น อิงค์ จำกัด ผู้ผลิตสินค้าไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ของประเทศสหรัฐอเมริกาให้ส่งออกสินค้า จึงเป็นความผิดของจำเลย หาใช่เหตุสุดวิสัยไม่ ทั้งมิใช่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และซึ่งจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ และทำให้จำเลยเป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 วรรคหนึ่ง ดังนั้น เมื่อจำเลยไม่สามารถจัดหาสินค้าดังกล่าวตามสัญญาส่งมอบให้แก่โจทก์ได้ จำเลยจึงตกเป็นฝ่ายผิดสัญญา และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้จำเลยฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินต้น 261,714.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินต้นจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2543 จนกว่า จะชำระเสร็จ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องแย้ง จำเลยฎีกาขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเท่ากับเงินต้นที่จำเลยฟ้องแย้งกับดอกเบี้ยคิดถึงวันรับฟ้องแย้งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คือ 301,670.84 บาท ซึ่งจำเลยต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพียง 7,542.50 บาท แต่ศาลชั้นต้นคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาโดยรวมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องแย้งจนถึงวันที่จำเลยยื่นฎีกาเข้าเป็นทุนทรัพย์ด้วย และให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลเป็นเงิน 10,225.50 บาท ศาลฎีกาชอบที่จะสั่งให้คืนเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่ชำระเกินมาแก่จำเลย และที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในส่วนฟ้องแย้งเพิ่มเติม ซึ่งโจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มให้แล้ว โดยคิดจากทุนทรัพย์ตามฟ้องแย้งที่มีจำนวนมากกว่าจำนวนหนี้ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ต้องรับผิดต่อจำเลย จึงเป็นการเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในส่วนฟ้องแย้งเกินมา 480 บาท ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในส่วนฟ้องแย้งที่ชำระเพิ่มมาแก่โจทก์
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาแก่จำเลย 2,680 บาท และคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์ 480 บาท