คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 757/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลนัดสืบพยานผู้คัดค้านรวม 6 นัด ผู้คัดค้านไม่เคยมาศาลเลย ได้สืบพยานผู้คัดค้านคือทนายผู้คัดค้านได้เพียงปากเดียวในนัดที่ 2 ส่วนนัดแรกและนัดที่ 3 ถึงนัดที่ 6 ทนายผู้คัดค้านขอเลื่อนคดี 4 นัดติดต่อกัน ถือได้ว่าผู้คัดค้านมีเจตนาประวิงคดี การที่ลูกหนี้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความชำระหนี้ให้ผู้คัดค้านในระหว่างระยะ 3 เดือน ก่อนที่ลูกหนี้จะถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลาย โดยที่ลูกหนี้มีเจ้าหนี้รายอื่นอีกจำนวนมากซึ่งขอรับชำระหนี้ไว้ในคดีนี้ถึง 15 ราย การชำระหนี้ดังกล่าวเป็นการกระทำที่มุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 115 ศาลให้เพิกถอนการชำระหนี้ได้ โดยไม่ต้องพิจารณาว่าผู้คัดค้านรับชำระหนี้ไว้โดยสุจริตหรือไม่ การเพิกถอนการชำระหนี้เป็นไปโดยผลของคำพิพากษา ระหว่างที่ศาลยังมิได้พิพากษาให้เพิกถอนการชำระหนี้ถือว่าเป็นการชำระหนี้โดยชอบ ยังถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัดตั้งแต่วันยื่นคำร้อง สิทธิเรียกดอกเบี้ยเริ่มนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา และถือว่าเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ได้ยื่นฟ้องลูกหนี้ (จำเลย) ทั้งสองเป็นคดีล้มละลายเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2528 ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 17 เมษายน2528 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้คัดค้านและลูกหนี้ทั้งสองตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยลูกหนี้ทั้งสองยอมชำระเงิน 1,100,000บาท โดยยอมให้ผู้คัดค้านไปรับเงินค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย จำนวน 767,567.57 บาท และศาลพิพากษาตามยอม เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2527 อันอยู่ภายในระยะเวลา 3 เดือน ก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ ล้มละลาย ต่อมาผู้คัดค้านได้ไปรับเงินค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทดังกล่าว จึงเป็นการกระทำของลูกหนี้ที่มุ่งหมายให้ผู้คัดค้านเจ้าหนี้ได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นอีกหลายรายที่ยังมิได้รับชำระหนี้ ขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเสีย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา115 และให้ผู้คัดค้านคืนเงินจำนวน 767,567.57 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี เข้าสู่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสอง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน ที่ผู้คัดค้านยื่นคำขอรับชำระเงินค่าสินไหมทดแทนจำนวน 767,567.57 บาท ของลูกหนี้ทั้งสองจากบริษัทประกันภัยโดยสุจริต มิได้มุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนใดได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น และเป็นการกระทำก่อนลูกหนี้ทั้งสองจะถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมได้และคดีขาดอายุความขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และให้ผู้คัดค้านคืนเงินจำนวน 767,567.57 บาท กลับเข้าสู่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสอง พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2531 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ผู้คัดค้านฎีกาข้อแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ผู้คัดค้านสืบพยานใหม่น่าจะไม่ถูกต้องเพราะผู้คัดค้านขอเลื่อนคดีเพียง 2 ครั้ง ไม่มีเจตนาประวิงคดีนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานผู้คัดค้านรวม 6 นัด ผู้คัดค้านไม่เคยมาศาลเลย ได้สืบพยานผู้คัดค้านคือทนายผู้คัดค้านเพียงปากเดียวในวันนัดที่ 2 ส่วนนัดแรกและนัดที่ 3 ถึงนัดที่ 6 ทนายผู้คัดค้านขอเลื่อน ศาลชั้นต้นได้ให้โอกาสแก่ผู้คัดค้านมากแล้ว แต่ผู้คัดค้านก็ไม่ได้นำพยานมาสืบการที่ผู้คัดค้านขอเลื่อนคดี 4 นัดติดต่อกันถือได้ว่าผู้คัดค้านมีเจตนาประวิงคดี ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ไม่อนุญาตให้ผู้คัดค้านสืบพยานใหม่นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ผู้คัดค้านฎีกาเป็นข้อที่สองว่า การที่ผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้เงินค่าสินไหมทดแทนของลูกหนี้ทั้งสองจากบริษัทประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด ไปนั้น ได้กระทำโดยสุจริตมิได้มุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดได้เปรียบแต่อย่างใด ทั้งผู้คัดค้านก็ไม่ทราบว่าลูกหนี้ทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวนั้น เห็นว่า การที่ลูกหนี้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความชำระหนี้ให้ผู้คัดค้านในระหว่างระยะ3 เดือน ก่อนที่ลูกหนี้จะถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลาย โดยที่ลูกหนี้มีเจ้าหนี้รายอื่นอีกจำนวนมากซึ่งขอรับชำระหนี้ไว้ในคดีนี้ถึง15 ราย และผู้คัดค้านมิได้นำสืบให้เห็นว่า หนี้ที่เจ้าหนี้ขอรับชำระไว้ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยประการใด การชำระหนี้ของลูกหนี้ให้ผู้คัดค้านตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น จึงเป็นการกระทำที่มุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 ศาลให้เพิกถอนการชำระหนี้ได้ โดยไม่ต้องพิจารณาว่าผู้คัดค้านรับชำระหนี้โดยสุจริตหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน แต่สำหรับดอกเบี้ยที่ศาลล่างทั้งสองคิดให้นับแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2531 ซึ่งเป็นวันยื่นคำร้องเป็นต้นไปนั้นไม่ถูกต้อง เพราะการเพิกถอนการชำระหนี้เป็นไปโดยผลของคำพิพากษา ระหว่างที่ศาลยังมิได้พิพากษาให้เพิกถอนการชำระหนี้ ต้องถือว่าเป็นการชำระหนี้โดยชอบ ยังถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านผิดนัดนับแต่วันยื่นคำร้อง ผู้ร้องคงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2533 ที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้เพิกถอน การชำระหนี้เป็นต้นไป ความข้อนี้ แม้ไม่มีฝ่ายใดฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเพื่อแก้ไขให้ถูกต้องได้เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ในส่วนดอกเบี้ยให้ผู้คัดค้านชำระนับตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำคำแก้ฎีกาเอง จึงไม่กำหนดค่าทนายความให้

Share