แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยต่อว่าผู้ตายเรื่องที่ผู้ตายมีหญิงอื่นและเกิดการโต้เถียงกัน จำเลยจึงเข้าไปทุบตัวผู้ตาย ผู้ตายพูดว่า กูไม่อยู่กับมึง กูทนไม่ไหวแล้ว กูจะหย่ากับมึงอีแก่ เมื่อจำเลยได้ยินคำพูดเช่นนั้น จำเลยเกิดความโมโหมาก จึงไปเอาอาวุธปืนที่จำเลยซ่อนไว้ในลิ้นชักโต๊ะคอมพิวเตอร์ออกมายิงผู้ตาย 4 นัด จนผู้ตายถึงแก่ความตาย ข้อเท็จจริงดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่า จำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยยังมิใช่การกระทำโดยบันดาลโทสะตามกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32, 33, 91, 288, 289 ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยให้การว่า จำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะและมิได้ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายฟ้อน และนางชะอ้อน บิดาและมารดาของนายเกษม ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต (ที่ถูก เฉพาะข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน) และโจทก์ร่วมทั้งสองยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอื่น ๆ อันเกี่ยวกับงานศพ 140,000 บาท ค่าขาดไร้อุปการะให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสองคนละ 100,000 บาท รวมเป็นเงินค่าสินไหมทดแทนทั้งหมด 340,000 บาท
จำเลยไม่ยื่นคำให้การในคดีส่วนแพ่ง ต่อมาจำเลยโอนบ้านพร้อมที่ดินให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง โจทก์ร่วมทั้งสองขอถอนคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 18 ปี ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 18 ปี 6 เดือน คำให้การและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 9 ปี 3 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72 จำคุก 6 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี เมื่อรวมกับโทษจำคุกฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว รวมจำคุก 3 ปี 3 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมทั้งสองและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมทั้งสองว่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยบันดาลโทสะหรือไม่ เห็นว่า ก่อนที่จำเลยจะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายนั้น จำเลยกับผู้ตายอยู่กันเพียงลำพัง โจทก์จึงไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยกระทำไปโดยบันดาลโทสะหรือไม่ แต่โจทก์มีพยานบุคคลทั้งก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุเป็นพยานแวดล้อมดังนี้ จำเลยเข้าไปภายในบ้านของนางสุภาพ จำเลยพูดคุยกับนางสุภาพว่าผู้ตายไปมีคนอื่น พยานได้ปลอบจำเลยว่าเราอายุมากแล้ว พยานจำรายละเอียดที่พูดคุยไม่ได้ แต่ก่อนจำเลยออกจากบ้านนางสุภาพ จำเลยพูดว่าวันนี้ได้เจอดีแน่ พยานได้ร้องเตือนจำเลยว่าอย่าทำอะไรผู้ตาย หลังจากนั้นประมาณ 15 นาที ก็มีเสียงปืนดังติด ๆ กันหลายนัดที่บ้านผู้ตาย พยานยืนตรงบันไดบ้านนางสุภาพได้ร้องตะโกนบอกจำเลยว่า ทำอะไรผู้ตายหรือยัง ถ้าทำแกติดคุกนะ จำเลยตะโกนตอบพยานว่า หนูไม่กลัวติดคุก นางสุภาพให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของพยาน ซึ่งจำเลยยอมรับว่านางสุภาพให้การเช่นนั้นจริงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น วันที่ 10 มิถุนายน 2551 นางสุภาพให้การสอดคล้องกับคำเบิกความของนางสาวนงนภางค์ อายุ 66 ปี อาชีพแม่บ้าน เบิกความว่า พยานมีบ้านพักอยู่ตรงข้ามบ้านผู้ตายกับจำเลย วันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 17 นาฬิกา พยานยืนที่หน้าบ้าน ได้ยินเสียงปืน 4 ถึง 5 นัดที่บ้านผู้ตาย มีคนตะโกนว่าจำเลยยิงผู้ตาย พยานไปที่รั้วบ้านผู้ตาย เห็นผู้ตายล้มนอนหงาย แต่หัวยังผงกขึ้น พยานบอกจำเลยว่า อย่ายิงอีกนะ คงตายแล้วมั้ง แต่พยานเห็นจำเลยยิงไปที่ศีรษะด้านซ้ายของผู้ตาย 1 นัด ผู้ตายแน่นิ่งไป หลังจากนั้นจำเลยนำอาวุธปืนไปวางที่โต๊ะภายในบ้าน มีคนจะพาผู้ตายไปส่งโรงพยาบาล จำเลยบอกว่าไม่ต้องพาไปหรอกเพราะยิงที่หัว ตายแล้ว ก่อนที่พยานจะได้ยิงเสียงปืนนั้นจะมีเสียงอะไรจากบ้านผู้ตายหรือไม่ พยานไม่ได้สังเกต นายพิชัยโชค อายุ 58 ปี พี่ชายผู้ตายเบิกความว่า วันเกิดเหตุพยานกลับมาที่บ้านเวลา 17 นาฬิกา บ้านพยานอยู่ห่างจากบ้านผู้ตาย 100 เมตร บุตรชายของพยานมาแจ้งว่าจำเลยยิงผู้ตาย พยานจึงได้ไปที่บ้านผู้ตาย พบว่าผู้ตายนอนเสียชีวิตที่พื้นบ้าน จึงได้สอบถามจำเลยว่าทำไมทำอย่างนี้ จำเลยพูดว่ามันเหลืออดแล้ว ก่อนเกิดเหตุ 1 เดือน จำเลยเคยบอกพยานว่า ผู้ตายไปมีผู้หญิงอื่น หากไม่ยอมเลิกจะเอาให้ตาย จำเลยได้อัดรูปถ่ายผู้ตายไว้ตั้งหน้าศพ จำเลยได้ซื้ออาวุธปืนมาไว้พร้อม แต่พยานไม่เคยเห็นอาวุธปืนพันตำรวจโทสมบูรณ์ พนักงานสอบสวนเบิกความว่า พยานได้ทำการสอบสวนจำเลย จำเลยยอมรับว่าใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง อ้างเหตุถูกผู้ตายด่าก่อนเกิดเหตุ จึงกระทำไปโดยบันดาลโทสะตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา ตามบันทึกดังกล่าวจำเลยให้การว่า ก่อนเกิดเหตุ 4 เดือน จำเลยกับผู้ตายขัดแย้งกันเนื่องจากผู้ตายไปมีหญิงอื่น จึงไม่ได้พูดคุยกันแต่ยังคงพักอยู่บ้านเดียวกัน แยกห้องนอน วันเกิดเหตุจำเลยพบโทรศัพท์เคลื่อนที่ในลิ้นชักตู้รองเท้า จึงได้กดดูหมายเลขโทรศัพท์ พบหมายเลขโทรศัพท์ของนางรัตนาภรณ์จึงได้โทรศัพท์ไปต่อว่า จากนั้นทุบโทรศัพท์ทิ้งถังขยะหน้าบ้านแล้วเดินกลับเข้าบ้าน พบผู้ตาย ได้โต้เถียงกัน จำเลยเข้าไปทุบตัวผู้ตาย ผู้ตายพูดว่า กูไม่อยู่กับมึง กูทนไม่ไหวแล้ว กูจะหย่ากับมึงอีแก่ จำเลยเกิดความโมโหอย่างมาก จึงเดินไปเอาอาวุธปืนที่อยู่ในลิ้นชักโต๊ะคอมพิวเตอร์ยิงใส่ผู้ตาย 4 นัด จนถึงแก่ความตาย หลังจากนั้นมีเพื่อนบ้านและเจ้าพนักงานตำรวจมาที่เกิดเหตุ ส่วนจำเลยเบิกความว่า จำเลยกับผู้ตายทะเลาะกันเรื่องที่ผู้ตายมีหญิงอื่น จำเลยบอกผู้ตายว่า เราพูดกันดี ๆ ไม่ได้หรือ ผู้ตายบอกว่ามึงไปหย่ากับกู จำเลยหวังจะฝากชีวิตไว้กับผู้ตาย จึงคิดน้อยใจ จำเลยลงไปกราบผู้ตายแต่ผู้ตายใช้เท้าปัด จำเลยลุกขึ้นจะกอดผู้ตาย แต่ผู้ตายเงื้อมือจะตบจำเลย แล้วผู้ตายผลักจำเลยออก จำเลยเซไปที่โต๊ะ จำเลยเปิดลิ้นชักหยิบอาวุธปืนยิงผู้ตาย จำเลยพบอาวุธปืนดังกล่าวในห้องนอนและนำไปซุกซ่อนไว้ที่ลิ้นชัก สุดท้ายจึงนำมายิงผู้ตาย เห็นว่า การกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 นั้น ผู้กระทำต้องถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น จำเลยยอมรับว่าไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับนางสุภาพและนางสาวนงนภางค์ ก่อนเกิดเหตุจำเลยยังไปหานางสุภาพที่บ้าน จำเลยได้พูดระบายเรื่องที่ผู้ตายมีหญิงอื่นให้นางสุภาพฟัง นางสาวนงนภางค์ได้พูดปลอบใจและให้สติจำเลย จึงเชื่อว่านางสาวนงนภางค์เบิกความและนางสุภาพให้การในชั้นสอบสวนไปตามความจริงมิได้ปรักปรำจำเลย พฤติการณ์ของจำเลยก่อนเกิดเหตุที่จำเลยพูดกับพยานสองปากนี้ว่าวันนี้ผู้ตายโดนดีแน่ ๆ ส่อแสดงว่า จำเลยมีเจตนาอาฆาตมาดร้ายต่อผู้ตาย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จำเลยทะเลาะกับผู้ตายแล้วจำเลยยังจะลงไปกราบผู้ตาย หรือกอดผู้ตายดังที่จำเลยเบิกความคำเบิกความจำเลยมีน้ำหนักรับฟังน้อย เมื่อตรวจบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา จำเลยให้การในวันเกิดเหตุนั้นเองโดยมีนายสุวัฒย์ ทนายความซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ของบิดาจำเลย และเป็นผู้ที่จำเลยประสงค์ให้เข้าร่วมฟังการสอบสวนอยู่ด้วย คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนจึงมีน้ำหนักให้รับฟังว่าเป็นความจริง การที่จำเลยต่อว่าผู้ตายเรื่องที่ผู้ตายมีหญิงอื่นและเกิดการโต้เถียงกัน จำเลยจึงเข้าไปทุบตัวผู้ตาย ผู้ตายพูดว่า กูไม่อยู่กับมึง กูทนไม่ไหวแล้ว กูจะหย่ากับมึงอีแก่ เมื่อจำเลยได้ยินคำพูดเช่นนั้น จำเลยเกิดความโมโหมาก จึงไปเอาอาวุธปืนที่จำเลยซ่อนไว้ในลิ้นชักโต๊ะคอมพิวเตอร์ออกมายิงผู้ตาย 4 นัด จนผู้ตายถึงแก่ความตาย ข้อเท็จจริงดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่า จำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยยังมิใช่การกระทำโดยบันดาลโทสะตามกฎหมาย ฎีกาของโจทก์ร่วมทั้งสองฟังขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า สมควรลงโทษจำเลยให้น้อยลงจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 และรอการลงโทษให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า เมื่อการกระทำของจำเลยมิใช่การกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะเสียแล้ว จึงไม่อาจลงโทษจำเลยให้น้อยลงจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ได้ และย่อมไม่อาจรอการลงโทษได้เช่นเดียวกัน ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง พฤติการณ์ของจำเลยที่ใช้อาวุธปืนยิงที่ศีรษะผู้ตายซ้ำอีก 1 นัด ขณะที่ผู้ตายยังผงกศีรษะได้ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายทันที เป็นพฤติการณ์กระทำความผิดที่ร้ายแรง จึงเห็นว่าศาลชั้นต้นกำหนดโทษไว้เหมาะสมแล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น