คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อำเภอชี้ขาดให้จำเลยชำระค่านายหน้าแก่โจทก์ จำเลยลงชื่อยินยอมปฏิบัติตามสัญญายอมความของอำเภอ ต่อมาอีก 5 วันจำเลยจึงโอนขายที่ดินของจำเลยให้ผู้ร้อง สัญญาระบุว่าซื้อขาย แต่ความจริงไม่มีค่าตอบแทน ดังนี้
เมื่อจำเลยไม่ชำระค่านายหน้าให้โจทก์ๆฟ้องคดี จนศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ย่อมนำยึดที่ดินของจำเลย ดังกล่าวเพื่อการบังคับคดีได้ เพราะการโอนให้ผู้ร้องดังกล่าว เป็นการทำให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์ย่อมขอให้เพิก ถอนการฉ้อฉลได้ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 237./

ย่อยาว

ผู้ร้องๆขัดทรัพย์ว่า ที่ดินที่โจทก์นำยยึดเพื่อการบังคับคดี เอาแก่จำเลยผู้แพ้คดีนั้นเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องได้รับโอนมาจาก จำเลยโดยสุจริต ขอให้เพิกถอนการยึด
โจทก์ให้การแก้ว่า เป็นของจำเลยๆ สมยอมโอนให้ผู้ร้องเพื่อฉ้อฉลโจทก์
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้เพิกถอนการยึด แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาได้พิจารณาแล้ว คดีได้ความว่าโจทก์จำเลยพิพาทกันเรื่องค่านายหน้าซื้อที่ดิน ทางอำเภอชี้ขาดให้โจทก์ชนะ ให้ จำเลยชำระค่านายหน้าแก่โจทก์ จำเลยลงชื่อยอมปฏิบัติตามสัญญายอมความ ต่อมาอีก ๕ วัน จำเลยนจึงโอนขายที่ดินของ จำเลยให้ผู้ร้อง ในสัญญาระบุว่าซื้อขาย แต่ความจริงไม่มีค่าตอบแทน ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า การโอนที่ดินให้ผู้ร้องขัด ทรัพย์ซึ่งอยู่ร่วมกันกับจำเลยโดยไม่มีค่าตอบแทนไป ภายหลังจำเลยแพ้ความโจทก์ที่อำเภอเพียง ๕ วัน โดยทำให้โจทก์ เสียเปรียบอย่างนี้ โจทก์ย่อมขอให้เพิกถอ่นการฉ้อฉลได้ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๒๓๗
จึงพิพากษายืน.

Share