คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7562/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองกับพวก 5 คน ร่วมกันปรึกษาวางแผนลักทรัพย์ของชาวต่างชาติบนรถโดยสารสองแถว โดยขึ้นรถโดยสารสองแถวมาพร้อมกันซึ่งจะทำให้มีผู้โดยสารมากพอที่จะทำให้พวกของจำเลยที่ 1 สามารถเข้าไปนั่งชิดกับผู้เสียหายทางด้านขวาที่มีกระเป๋าสตางค์อยู่ในประเป๋ากางเกง พวกของจำเลยทั้งสองจึงมีโอกาสล้วงกระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหาย และมีการแบ่งหน้าที่กันทำตามที่จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 5 คน สมคบกัน จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานร่วมกับพวกลักทรัพย์ในยวดยานสาธารณะและเป็นซ่องโจร ซึ่งความผิดฐานเป็นซ่องโจรกับฐานร่วมกันลักทรัพย์ในยวดยานสาธารณะเกี่ยวเนื่องกันจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 210, 335 และนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1797/2547 ของศาลจังหวัดชลบุรี และนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3236/2548 ของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้แยกฟ้องจำเลยที่ 2 จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 วรรคแรก, 335 (7) (9) วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานซ่องโจร จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันลักทรัพย์ในยวดยานสาธารณะ จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 3 ปี 6 เดือน และให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1797/2547 ของศาลจังหวัดชลบุรี
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ขณะผู้เสียหายนั่งรถโดยสารสองแถวมาจากบริเวณหาดจอมเทียนมาถึงบริเวณโค้งหนุมาน มีจำเลยทั้งสอง นางเตือนใจ นางสาวบัวทิพย์ และนายวันชัย ขึ้นรถโดยสารสองแถวมาพร้อมกัน โดยนางเตือนใจนั่งชิดติดผู้เสียหายด้านขวาและจำเลยที่ 2 นั่งติดผู้เสียหายด้านซ้าย ส่วนนายวันชัย จำเลยที่ 1 และนางสาวบัวทิพย์นั่งฝั่งตรงข้าม เมื่อผู้เสียหายจะลงจากรถบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้ารอยัลการ์เดนท์ ได้ล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบกระเป๋าสตางค์นำเงินมาชำระค่าโดยสาร แต่ไม่พบกระเป๋าสตางค์จึงร้องบอกให้คนขับจอดรถและมีคนแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจแล้ว เมื่อร้อยตำรวจเอกศยาม และดาบตำรวจเฉลียว มาถึงที่เกิดเหตุจึงให้คนขับรถพาผู้เสียหาย จำเลยทั้งสอง นายวันชัย นางเตือนใจและนางสาวบัวทิพย์ไปที่สถานีตำรวจท่องเที่ยวพัทยา ระหว่างรถโดยสารสองแถวจอดติดสัญญาณไฟบนถนนพัทยาสาย 2 มีชายชาวต่างชาติขับรถจักรยานยนต์พาหญิงไทยนำกระเป๋าสตางค์ที่หล่นจากรถโดยสารมาให้นายวันชัยซึ่งปฏิเสธและไม่ยอมรับไว้ ดาบตำรวจเฉลียวที่นั่งอยู่ท้ายรถโดยสารสองแถวจึงให้ผู้เสียหายดูกระเป๋าสตางค์ดังกล่าว ผู้เสียหายยืนยันว่าเป็นของตนแต่เงิน 5,180 บาท หายไป เมื่อถึงสถานีตำรวจท่องเที่ยวพัทยา เจ้าพนักงานตำรวจค้นตัวนายวันชัยพบเงินจำนวนดังกล่าวอยู่ในกระเป๋าหิ้วที่นายวันชัยถืออยู่ จึงนำตัวจำเลยทั้งสองกับพวกพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรตำบลพัทยา ชั้นสอบสวนนายวันชัยให้การรับสารภาพว่า ก่อนเกิดเหตุ นายวันชัย นางเตือนใจ นางสาวบัวทิพย์ และจำเลยทั้งสองร่วมกันวางแผนลักทรัพย์ชาวต่างชาติ ตามบันทึกคำให้การ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดฐานลักทรัพย์และฐานเป็นซ่องโจรตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 กับพวกรวม 5 คน ขึ้นรถโดยสารสองแถวมาพร้อมกัน ย่อมจะทำให้มีผู้โดยสารมากพอที่จะทำให้นางเตือนใจพวกของจำเลยที่ 1 สามารถเข้าไปนั่งชิดกับผู้เสียหายทางด้านขวาที่มีกระเป๋าสตางค์อยู่ในกระเป๋ากางเกง นางเตือนใจจึงมีโอกาสล้วงกระเป๋าสตางค์ในกระเป๋ากางเกงของผู้เสียหาย และเมื่อนายวันชัยรับกระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหายที่นางเตือนใจส่งมอบให้แล้วได้นำเงินออกจากกระเป๋าโดยนำเสื้อของจำเลยที่ 1 มาปิดบังไว้ โดยความยินยอมของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำตามที่จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 5 คน สมคบกันเพื่อกระทำความผิดมาแต่ต้น พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ในยวดยานสาธารณะและเป็นซ่องโจร ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น อย่างไรก็ตามความผิดฐานเป็นซ่องโจรกับฐานร่วมกันลักทรัพย์ในยวดยานสาธารณะเกี่ยวเนื่องกันจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
พิพากษากลับว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 วรรคแรก, 335 (7) (9) วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันลักทรัพย์ในยวดยานสาธารณะ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี และให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1797/2547 ของศาลจังหวัดชลบุรี

Share