แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงและรายละเอียดต่าง ๆดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 158(5) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว สำหรับน้ำหนักเฮโรอีนของกลางที่เป็นสารบริสุทธิ์จะมีน้ำหนักเท่าใดนั้นเป็นเรื่องที่จะนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ประกอบกับจำเลยเองก็ฎีกายอมรับว่าเป็นเรื่องประกอบดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลเท่านั้น คำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1จำนวน 3 หลอด น้ำหนัก 2.98 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและได้จำหน่ายเฮโรอีนดังกล่าวให้แก่ผู้มีชื่อเป็นเงิน 1,800 บาทอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เจ้าพนักงานจับจำเลยพร้อมกับยึดได้เฮโรอีนจำนวน 3 หลอดดังกล่าว และธนบัตรจำนวน1,800 บาท ที่ใช้ในการล่อซื้อเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7,8, 15, 66, 102 ริบเฮโรอีนของกลางและคืนธนบัตรที่ใช้ในการล่อซื้อแก่เจ้าของ
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่งฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (ที่ถูกควรระบุว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายบทเดียวกันให้ลงโทษฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1) จำคุก 6 ปี จำเลยอายุ75 ปี และให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 3 ปี ริบเฮโรอีนของกลาง ส่วนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อจำนวน1,800 บาท คืนให้แก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกมีกำหนด 5 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วคงจำคุก2 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยอ้างว่าโจทก์มิได้ระบุน้ำหนักเฮโรอีนของกลางว่ามีสารบริสุทธิ์หนักเท่าไรนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงและรายละเอียดต่าง ๆ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 158(5)แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วสำหรับน้ำหนักเฮโรอีนของกลางที่เป็นสารบริสุทธิ์จะมีน้ำหนักเท่าใดนั้นเป็นเรื่องที่จะนำสืบในชั้นพิจารณาได้จำเลยเองก็ฎีกายอมรับว่า เป็นเรื่องประกอบดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลเท่านั้น คำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบานั้นเห็นว่า โทษฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึงจำคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่ 50,000 บาท ถึง 500,000 บาท ดังนั้นโทษจำคุกที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดไว้ 5 ปี แล้วลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน จึงเป็นโทษขั้นต่ำของกฎหมายแล้ว ไม่อาจจะลงโทษจำเลยให้ต่ำไปกว่านี้อีกได้เมื่อโทษจำคุกที่จำเลยได้รับเกิน 3 เดือน จึงไม่อาจเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23และไม่อาจรอการลงโทษให้จำเลยได้เช่นกันเนื่องจากโทษที่จำเลยได้รับเกิน 2 ปี ตามมาตรา 56 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน